สิ้นเมษาฝนตกมาปรอยปรอย เป็นหนังเล็ก ๆ นิ่ง ๆ เรียบ ซึ่งอาจจะี่ดูเหมือนเป็นเพียงการบันทึกประจำวันของหนุ่มชนชั้นกลางอีสานคนหนึ่ง แต่ในความราบเรียบนั้นมันแฝงไปด้วยความเจ็บปวดลึก ๆ ของหนุ่มอีสานกับประสบการณ์ในวัยเด็ก การเปลี่ยนก้าวเดินที่สำคัญจากวิศวกรรมสู่การทำหนัง รวมทั้งมุมมองที่เขามีต่อการเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อสองปีก่อน
หนังเริ่มเรื่องจากหนุ่มอีสานคนหนึ่งที่ไปเจอกองถ่ายหนังเข้า ขณะกำลังเดินทางกลับบ้านที่ขอนแก่นช่วงสงกรานต์ ได้พบเพื่อนเก่า ๆ รวมทั้งสาวรุ่นพี่ที่เคยแอบชอบ ก่อนที่หนังจะสลับกลับไปกลับมาระหว่างเรื่องราวชีวิตของผู้กำกับ ทั้งแผลในใจอันเกิดจากประสบการณ์เมษาในวัยเด็ก รวมทั้งทัศนะต่อทางการเมืองในช่วงท้ายของหนัง ทำให้หนังมีลักษณะพิเศษที่ผสมผสานระหว่างสารคดีและหนังเล่าเรื่องอยู่ในตัว
หนังดูนิ่ง ๆ ด้วยข้อจำกัดในเรื่องงบการผลิตอย่างเห็นได้ชัด ภาพส่วนใหญ่ดูเรียบ ๆ ยกเว้นก็มุมกล้องที่เจตนาเดินตามตัวละครอย่างหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายจากข้างหลัง เพื่อแสดงให้เห็นมุมมองของเขาต่อเรื่องราวที่กำลังจะซื่อ นักแสดงหลักแม้อาจจะไม่ได้ช่ำชองแบบนักแสดงมืออาชีพ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอย่างที่เห็นในหนังอินดี้หลายเรื่อง หลาย ๆ ฉากชวนให้เกิดความรู้สึกเอ็นดู โดยเฉพาะฉากที่หนุ่มพยายาม จีบ รุ่นพี่อีกครั้ง เท่า ๆ กับที่หนังได้สะท้อนให้เห็นภาพของชนชั้นกลางอีสานร่วมสมัยที่เราไม่ค่อยเห็นบ่อยหนัก ไม่ใช่ตลกแบบหม่ำ จ๊กม๊ก ไม่ได้ลำบากยากเข็ญแบบลูกอีสาน
ผู้กำกับเหมือนกับจะ กด รายละเอียดของตัวละครและเรื่องราวในอดีตบางอย่างไว้ในตอนแรก จึงทำให้หนังขาดเสน่ห์และเรื่องราวบางส่วนไป เราไม่รู้ว่าหนุ่มเป็นโฟร์แมนที่กลับบ้านเพราะตกงาน เช่นเดียวกับประสบการณ์ในวัยเด็กหลายที่ผู้กำกับพยายามไม่ให้มันดูฟุ่มเฟือย ดังนั้นฉากดูการ์ตูนอิ๊กคิวซัง ซึ่งน่าจะเล่าเรื่องราวได้มากมาย ก็ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย
ส่วนที่ดีที่สุดกลับเป็นการเล่าเรื่องราวในวัยเด็กของตน ผ่านการสัมภาษณ์พ่อผู้เป็นครู ซึ่งวิชชานนท์ทำได้ดีมาก มันไม่มีการเคอะเขินแบบคนในครอบครัว ไม่ได้เล่น ๆ แบบหนังบ้าน และหนังไม่ได้มีลักษณะฟุ่มเฟือยทางอารมณ์ด้วยการหวลหาอดีต หนังอาจไม่ได้ท้าทายการเล่าเรื่องของชีวิต แต่มันครุ่นคิด ดูเหมือนไม่ได้มีอะไร แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแผลลึก ๆ ที่เขาต้องก้าวให้ผ่าน ต้องเผชิญหน้ากับมัน การทำหนังเรื่องนี้คือการเผชิญหน้าที่สำคัญของเขา หนังจึงมีลักษณะของการปลดปล่อยอย่างหนึ่ง (self-relief)
หลายคนอาจจะบอกว่าไม่มีอะไร ชีวิตก็ดำเนินต่อไปได้ ชีวิตคนเรานั้นมันซับซ้อนมากกว่าที่คิด บางเรื่องมันประดังเข้ามา จนเราช็อค แต่มันก็ทำให้เราเผชิญหน้าและก้าวผ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงเช่นกัน แต่เรื่องราวบางอย่างมันแทรกซึมเข้ามาทีละเล็กละน้อย เป็นแค่รอยขีดข่วนในตอนแรก ก่อนที่จะลุกลามเป็นแผลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แผลแบบนี้แหล่ะที่เราไม่รู้ว่ามันอยู่กับเราตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่ามันเจ็บลึก ๆ หลายคนก็อาจจะไม่รู้ตัวเลยตลอดชีวิต
เรื่องราวชีวิตมันซับซ้อนมากกว่าที่เราคิด
แต่พลังที่จะผลักเรื่องราวซับซ้อนแบบนี้ยังไม่มากเท่าที่ควรในหนังเรื่องแรกของวิชชานนท์ ด้วยข้อจำกัดด้านการผลิตและการเลือกที่จะนำเสนอเสียมากกว่า ผู้เขียนไม่คิดว่าผู้กำกับขาดประสบการณ์ในการถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองนำเสนอ หนังดูนิ่ง ๆ แต่มันต่อเนื่อง ไม่ขัดเขิน ดูไปได้เรื่อย ๆ เห็นเจตนาของผู้กำกับอยู่หลายอย่าง เป็นหนังไม่มีตะเข็บ มันมีความละไม แต่อาจจะยังไม่ได้ทำให้รู้สึกละมุนอย่างถึงที่สุด มันเป็นหนังที่ไม่ได้เสแสร้งอย่างหนังอินดี้หลาย ๆ เรื่องในหลายปีนี้ ที่เอาแต่ตัดต่อแบบสลับไปสลับมา (เกินความจำเป็น)
เช่นเดียวกับคลิปทางการเมือง ซึ่งในตอนแรกอาจจะมองไม่เห็นทรรศนะของผู้กำกับอย่างชัดเจน หนังพยายามให้ข้อมูลสองด้าน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้บาดเจ็บ หรือการบริการรถที่ให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองกลับบ้าน รวมทั้งการตั้งคำถามกับประชาธิปไตยของไทย แต่มันมีประโยคหนึ่งในหนังที่ทำให้เรารู้ว่าผู้กำกับคิดอย่างไร แต่มันไม่มากพอ เลยทำให้หนังดูพยายามเป็นกลาง
จริง ๆ แล้วหนังที่เต็มไปด้วยเรื่องราวข้างในแบบนี้ ผู้กำกับต้องเสี่ยง ต้องลงทุนที่จะเผยความคิดออกมาอย่างชัดเจน เหมือนกับที่ผู้กำกับกล้าบอกว่าเรื่องราวในวัยเด็กของเขา ซึ่งกลายเป็นจุดที่มีพลังมากที่สุดในหนังเรื่องนี้
หลังจากอาทิตย์ อัสสรัตน์ อโนชา สุวิชากรพงษ์ ศิวโรจน์ คงสกุล
.สิ้นเมษาฝนตกมาปรอยปรอย เป็นหนังที่เราจะได้เห็นลายเซ็นเล็ก ๆ หลายอย่างที่วิชชานนท์เริ่มสลักไว้ และหนึ่งในนั้นก็คือลักษณะที่เป็นแบบฉบับของตนเอง ที่ฝรั่งเรียกว่า original |