น่าแปลกในยุคที่ว่า ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้.... กลับเป็นยุคที่มีแต่อันธพาลครองพระนคร (กรุงเทพฯ) หรือเพราะคำพูดนั้นต่อท้ายด้วยว่า ...ในทางที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามและกฎหมายบ้านเมือง จึงทำให้บางงานอัศวินต้องยืมมือโจรมาใช้ หลังจากความอดทนอดกลั้นของจอมพลผู้ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวได้หมดลง เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2550 ได้เกิดขึ้นและตามมาด้วยการออกกฎหมายเพื่อปราบปรามนักเลงอันธพาล
แต่คนที่ว่ายุคของอันธพาลได้หมดลงไปแล้วนั้น ส่วนตัวผมกลับไม่เชื่อตาม มันเพียงแค่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาเท่านั้น ข่าวนักเรียนนักเลงหรืออันธพาลยังคงมีให้เห็นตามข่าวพาดหัวทุกสัปดาห์ ยิ่งในยุคสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นตรงกับนักการเมืองด้วยแล้ว ศัพท์ดูดีของอันธพาลที่ว่าผู้กว้างขวางก็ยังคงอยู่ ถ้าเรามองให้ดีเราจะเห็นบ่อนการพนันแทบทุกตำบลเหมือนOTOP ซ่องโสเภณีหลากหลายรูปแบบเพิ่มขึ้นมากกว่าร้านสะดวกซื้อ ยาเสพติดที่สาวถึงต้นน้ำหรือผู้ผลิตได้ยาก สิ่งอบายมุขเหล่านี้กลับกลายเป็นแค่การวัดใจของอันธพาลกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หรือวัดอำนาจบารมีของเจ้าพ่อหรือเรียกให้ทันสมัยว่า เช็คเรตติ้ง
กลับมาเข้าเรื่องภาพยนตร์ หลายคนอาจสงสัยว่าเรื่อง อันธพาล เป็นเรื่องราวอย่างไร? นี่คือภาพยนตร์ภาคต่อของ 2499 อันธพาลครองเมือง (2540) หรือเปล่า? ภาพยนตร์เล่าหน้าประวัติศาสตร์ของไทยในยุคที่อันธพาลกลายเป็นผู้มีคนเคารพยกย่องเช่นเดียวกับ 2499 อันธพาลครองเมือง ซึ่ง ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับภาพยนตร์ (ไชยา,2550/เฉือน,2552) ได้นำเหตุการณ์และเรื่องราวของอันธพาลชื่อดังอย่าง แดง ไบเล่ แสดงโดย เต๋า สมชาย มาปัดฝุ่นเล่าใหม่อีกครั้ง รวมทั้ง จ๊อด เฮาดี้ แสดงโดย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เพื่อนสนิทของแดง ร่วมด้วย โอวตี่ แสดงโดย ภคชนก์ โวอ่อนศรี ที่กลายมาเป็นคู่ปรับตัวสำคัญไม่แพ้ ปุ๊ ตรอกสาเก (ระเบิดขวด)และดำ เอสโซ่ นอกจากนั้นยังมีตัวละครที่สร้างขึ้นอย่าง ธง แสดงโดย สาครินทร์ สุธรรมสมัย และ เปี๊ยก แสดงโดย กฤษฎา สุภาพพร้อม นักเลงรุ่นน้องที่มีเหล่าตำนานอันธพาลเป็นต้นแบบ
ใน อันธพาล จะปรับให้ตัวละครดูมีอายุมากขึ้นและรวมกลุ่มแบบแก๊งสเตอร์ที่เราเห็นมาเฟียตามหนังฮ่องกง หรือพวกยากูซ่าตามแบบญี่ปุ่น ซึ่งเป็นความต่างที่เห็นได้ชัดเจนกับ 2499 อันธพาลครองเมือง ที่เน้นหนังแนวนักเรียนนักเลงและวัยรุ่น
ผมขอชมสองสิ่งที่เห็นได้ชัด อย่างแรกคือภาพสามารถสื่อออกมาได้ตามอารมณ์ของหนัง แม้หน้าหนังจะทำออกมาให้ดูคลาสสิค แต่สยมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพ ก็ไม่ได้ปั้นให้สวยจนเกินงามทุกจังหวะ แต่ยังทิ้งความรู้สึกความดิบและป่าเถื่อนของหนังเอาไว้ ผนวกกับการจัดแสงและการออกแบบงานสร้างอย่างพิถีพิถันที่ผสมกันได้ลงตัว
การกำกับฉากแอคชั่น ประมวล ผู้กำกับคิวบู๊ ออกแบบการต่อสู้ด้วยมือเปล่าและอาวุธมีด มีความสวยงามและความสมจริง ซึ่งถือว่าทำได้ดีทีเดียว ส่วนฉากอาวุธปืนและระเบิดนั้นยังขาดเสน่ห์ ดูไม่ได้แปลกใหม่หรือสร้างอรรถรสให้กับหนังมากนัก
บทภาพยนตร์ อันธพาล ของก้องเกียรติ มีปัญหาอย่างมาก เหมือนกับ 407 เที่ยวบินผี (2555) เรื่องราวกระโดดไปมาจนคลำทิศหาทางไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเล่าอะไร บทบาทของจ๊อด, เปี๊ยกและธง นั้นแย่งซีนกันเองจนไม่รู้อีกเช่นกันว่าใครเป็นตัวดำเนินเรื่อง รวมทั้งลักษณะการเล่าเรื่อง การนำเสนอที่ไม่แข็งแรง ขาดความต่อเนื่อง ทำให้ดูหนังไม่สนุก ไม่รู้ว่าตกลงเป็นภาพยนตร์ประเภทไหนกันแน่ จะเป็นสารคดีก็ไม่เชิง มีการให้สัมภาษณ์ของคนในยุคนั้นๆ เป็นระยะๆ ซึ่งสร้างคำถามไว้ว่าพวกเขาคือใคร อันธพาล กลายเป็นหนังคนละม้วนกับ ไชยา,2550 ที่ผมชอบเป็นพิเศษ
สุดท้ายสิ่งที่ช่วยหนังเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างมากคือการคัดเลือกนักแสดงนำและนักแสดงสมทบ ซึ่งดูเหมาะสมกับบทบาทที่ได้รับ รวมกับได้ฝีมือของนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง น้อย วงพรู และเต๋า สมชายที่สร้างพลังไว้ให้กับหนัง และนักแสดงสมทบก็ไม่ได้สร้างปัญหา ทำให้การแสดงดูมีชีวิตชีวา จนพูดได้ว่าบางฉากตัวละครเจ็บเราก็เจ็บไปกับตัวละครเลยทีเดียว |