
ขณะที่นั่งดู ATM เออรัก ...เออเร่อ นั้น เกิดคำถามหนึ่งขึ้นอยู่ในใจตลอดเวลา และพยายามหาคำตอบจากหนังเรื่องนี้ด้วย นั่นก็คือ หนังตลกแต่ละเรื่องนั้นควรมีอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง
คำตอบแรกที่นึกได้ทันทีก็คือ ดาวตลก คำตอบที่สองก็คือแก็กหรือมุข คำตอบที่สามก็คงจะเป็นบรรดาท่าทางหรือการแสดงที่คิดว่าตลกประเภทตีหัว แต่งตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งทั้งสามอย่างนั้นมักจะประกอบขึ้นในตัวดาวตลกมืออาชีพโดยอัติโนมัติ ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ถัดจากนั้น จะช่วยให้ดาวตลกหรือนักแสดงตลกสร้างเรื่องราวชวนหัวร่อได้ง่ายขึ้น เช่น บทหรือเรื่องราวสมมติต่าง ๆ
ATM เออรัก ...เออเร่อ มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากหนังตลกทั่วไปที่เราเห็น เราไม่กล้าปฏิเสธที่หนังเรียกเสียงเฮฮาได้ตลอด แต่แล้วเมื่อเราจับทางของเมษ ธราธรได้แล้ว ผลปรากฎว่ามันไม่มีอะไรใหม่ จนทำให้หนังหลงทางลงมหาสมุทรไป
หนังไม่มีดาวตลกมืออาชีพอย่างหม่ำ จ๊กม๊ก หรือตุ๊กกี้ อาจจะมีดาราหน้าเป็นที่เราคุ้นเคยในหนังจีทีเอช อย่าง แจ็ค แฟนฉัน หรือเต๋อ ฉันทวิชช์ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักร้องร่างโตอย่างป๊อบ ปองกูล สืบซึ้ง จาก แคลอรี่ บลา บลา หรือโจ๊ก โซคูล ก็ช่วยเรียกเสียงฮาได้ในหลาย ๆ ตอน ...หน้าเป็นของเขาเหล่านี้มีส่วนช่วย
แล้วอะไรล่ะสำหรับนักแสดงใหม่น่ารักอย่างไอซ์ - ปรีชญา พงษ์ธนานิกร ผู้รับบทนางเอกของเรื่อง ก็ทำให้เราหัวเราะได้ในหลาย ๆ ตอน
ATM เออรัก ...เออเร่อ เป็นหนังตลกที่มีการออกแบบและจัดวาง อารมณ์ตลก ไว้อย่างเต็มที่ โดยใช้องค์ประกอบต่าง ๆ มากมายมารวมกันได้อย่างเหมาะเจาะ ไม่ว่าจะเป็นมุข นักแสดง หน้าตาของพวกเขา การแสดง การตัดต่อ การใช้ดนตรีและเสียงประกอบ ซึ่งแต่ละอันนั้นมันไม่ได้โดดเด่นสูงสุดเป็นเอกเทศ หากเปรียบเทียบกับหนังเรื่องอื่นแล้ว บทก็ตลกนะ แต่ก็ไม่ได้เก๋ คมจ๋า ประเภทคนดูติดใจจนเอาติดตัวกลับบ้านมาด้วย การแสดงของนักแสดงนั้น ถ้าไม่ใช่โจ๊ก โซคูลแล้ว คนอื่นก็เรียกได้ว่าประมาณหนึ่งเท่านั้น
แต่เราก็ต้องยอมรับว่า เมษ ธราธร รู้จักที่จะใช้ตัวช่วยอย่างการตัดต่อ เสียงประกอบและดนตรี มาสอดรับองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญอย่างบท มุขและการแสดงของดาราได้อย่างไร เขารู้จักที่จะคุมและสั่งให้นักแสดงทำหน้าตาแบบไหน แสดงกิริยาออกมาอย่างไร ก่อนจะตบท้ายด้วยตัวช่วยเหล่านั้น
หรือถ้าสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เมษ ธราธร ได้ ออกแบบฉากตลก อย่างน่าสนใจและพิถีพิถัน จนตอนดูในช่วงแรก ๆ ผู้เขียนเห็นว่า เมษ ธราธรน่าจะมีอนาคตไกลกับหนังตลก และน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่าผลงานเรื่องหน้า ๆ ของเขาจะเป็นอย่างไร
แต่แล้วยังไม่ทันจบเรื่อง คำตอบก็กระจ่าง เมื่อ การออกแบบฉากตลก ของเมษ ธราธร เริ่มซ้ำอยู่กับที่ กล่าวคือ มีเรื่องราว ตามด้วยการแสดงและมุข ก่อนที่จะประสานด้วยภาษาทางเทคนิคที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เนื้อเรื่องที่ดูเข้าท่าในตอนแรก เริ่มสะเปะสะปะและลงทะเล เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเรื่องจระเข้นั่นล่ะค่ะ นอกจากดูไม่จริงแล้ว ยังดูเกินเลย ยิ่งเมื่อพาจระเข้เข้าโรงพยาบาลแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่

ยิ่งไปกว่านั้นการแสดงของนักแสดงที่เราคิดว่าจะตลกนั้น มันเริ่มดูน่ารำคาญ จากการที่ให้เขาทำท่าทางที่ไม่ตลกต่อไป เห็นได้ชัดที่สุดคือโจ๊ก โซคูล ที่พยายามร้องเพลงจีบจิ๊บในรถ
ขณะที่ดูหนังนั้น อดคิดไม่ได้ว่า โจทย์พื้นฐานในการสร้างหนังเรื่องนี้ น่าจะต้องการสร้างหนังตลกแนว My Sassy Girl ของกวาคแจยง เพราะฉะนั้นเราถึงได้นางเอกที่เก่งกว่าพระเอก แถมนักแสดงอย่างไอซ์ ปรีชญานั้นมีส่วนคล้ายกับจวนจีฮุนมาก เพียงแต่ว่าเต๋อ ฉันทวิชช์ ไม่สามารถทำหน้าตลกเด๋อ ๆ ได้อย่างแทฮุนชา จาก ยัยตัวร้าย กับนายเจี๋ยมเจี้ยม ได้เท่า พร้อม ๆ กับที่เมษยังไม่แก่กล้าเท่ากวาคแจยง ที่ทำได้ทั้งหนังตลกและหนังดราม่า
ยิ่งเมื่อหนังใกล้จบ เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามสร้างความรู้สึกแบบฟีลกู๊ดเต็มที่ แต่ด้วยความเลอะเทอะที่โหมกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงครึ่งหลัง ทำให้ความรู้สึกฟีลกู๊ด ไม่ได้กู๊ดอีกต่อไป คงได้ปล่อยให้หนังผ่านไปและจบโดยเร็วที่สุด
จริง ๆ แล้วหนังมีประเด็นเล็ก ๆ น่าสนใจอยู่หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชาย จนเป็นเจ้านายฝ่ายหลัง ซึ่งจริง ๆ แล้ว สามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ใครคนหนึ่งต้องเสียสละออกจากงาน ในความเป็นจริงนั้น เรื่องราวแบบนี้มักจะสร้างปัญหา สามารถสร้างเป็นหนังอีกเรื่องได้
น่าเสียดายที่เมษไม่สามารถสร้างความหลากหลายในการออกแบบฉากตลกในหนังของเขาได้ถึงที่สุด อาจเป็นเพราะประสบการณ์ที่ยังน้อย หรือใด ๆ ก็ตาม ...ดิฉันบอกไม่ได้หรอกค่ะว่าหนังตลกที่ดีนั้นควรจะมีอะไรอีก เพราะถ้ารู้ ก็คงเปลี่ยนอาชีพไปแล้ว แต่ดิฉันหวังว่าเมษจะได้ค้นพบสิ่งเหล่านั้นที่จะนำมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องต่อไป
|