
หนังแนว Road Movie อีกเรื่องที่เล่าถึงเรื่องราวระหว่างการเดินทางจากกรุงเทพฯสู่ภูเก็ตของวัยรุ่น 5 คนที่เพิ่งมารู้จักกัน จอร์ช (ธันวา สุริยจักร) หนุ่มหล่อที่บินไปเรียนอยู่ต่างประเทศ แต่ด้วยความไม่ชอบเขาจึงลาออก และเดินทางกลับมาที่เมืองไทย เพื่อมุ่งสู่ฟลูมูนปาร์ตี้ ซึ่งเขาได้ไว้วานให้ แจ๊ค (ธนา เอี่ยมนิยม) เพื่อนเก่าแก่ของเขาเป็นผู้นำทาง
ทั้งคู่มาพบกับ บ๊อบ (โจนาธาน แซมซัน) หนุ่มฝรั่งร่างใหญ่ ที่ดูสติไม่เต็มในสนามบิน ทั้งสองตัดสินใจให้เขาร่วมเดินทาง ระหว่างทางได้บังเอิญเจอกับ ไข่มุก (พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์) ลูกสาวเจ้าของค่ายมวย ที่ขอติดรถไปด้วยเพราะต้องการไปประกวดมิสบิกินนี่ เพื่อนำเงินมาพยุงค่ายมวยที่กำลังจะถูกปิดและให้พ่อภูมิใจ จากนั้นทั้งสี่ได้มาพบกับ ยูอิ (ยูอิ ทะสุมิ) สาวเซ็กซี่ชาวญี่ปุ่นกลางทาง หนุ่มๆ ไม่รีรอที่จะชวนเธอมาร่วมทางทันที เมื่อทราบว่าเธอกำลังจะไปยังที่เดียวกัน
ทั้งหมดจึงได้ร่วมเดินทางไปสู่จุดหมายเดียวกัน อย่างน้อยก็คือ ภูเก็ตนั่นเอง
ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่ยังไม่ได้ออกไปทำความรู้จักเท่านั้น ไตรลักษณ์ มรรคมีองค์แปด ผู้กำกับ ได้ใช้ประโยคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง ซึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียว การเปิดภาพที่สนามบินได้สื่ออะไรไว้หลายอย่างกับประโยคข้างต้น เพราะมันคือสถานที่ที่มีผู้คนแปลกหน้ามากมาย และเป็นสถานที่สำหรับการพบเจอและลาจาก แต่ประโยคข้างต้นก็อาจเป็นจุดบอดหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์ขาดความน่าเชื่อถือ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับผลนั้นด้วย กับการที่รับคนแปลกหน้าตามทางขึ้นมาบนรถ และการที่ทำให้ตัวละครนั้นสนิทกันเร็วเกินไป โดยไม่ได้ให้เวลามาช่วย
สิ่งแรกที่เห็นคือการคัดเลือกนักแสดงนำอย่างบท แจ๊ค จอร์ช ไข่มุก และบ๊อบ รวมทั้งการแสดงของทั้งสี่ก็น่าจะสอบผ่านได้ไม่ยาก โดยเฉพาะบทบ๊อบ ที่ผมชื่นชมเป็นพิเศษ โจนาธานสามารถเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีพลัง ซึ่งอย่างหลังทำให้ตัวละครดูมีน้ำหนักขึ้น แม้เราจะไม่รู้พื้นเพของตัวละครตัวนี้เหมือนกับตัวละครตัวอื่น
สำหรับบทของยูอินั้น ต้องมองเริ่มจากคาแรคเตอร์ของตัวละคร ที่มันไม่เข้ากับตัวละครตัวอื่น ดูไม่เหมาะที่จะเล่นเป็นเพื่อนร่วมแกงค์ ซึ่งน่าจะปรับฐานะตัวละครขึ้น ส่วนเรื่องการแสดงของยูอิมันเหมือนยังขาดความสมจริง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ผู้สร้างเลือกใช้ภาษาไทยพากย์ทับบทพูดของเธอ ความจริงถ้าในหนังปล่อยให้พูดภาษาญี่ปุ่นไปเลย อาจใช้ภาษาอังกฤษแทรกและภาษามือช่วยในการสื่อสารกับตัวละครตัวอื่นน่าจะทำให้ตัวละครดูมีพลังยิ่งขึ้น เหมือนกับ บ๊อบ

บทภาพยนตร์มีปัญหาแน่นอน การสนทนาระหว่างจอร์ชกับแจ๊คตั้งแต่องค์แรกก็ดูติดขัด การดำเนินเรื่องจนถึงจุดปัญหาและคลายปม ผมก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากนัก อย่างตอนสุดท้าย ภาพยนตร์จบด้วยการที่ตัวละครจับคู่กันและมอบสิ่งที่เรียกว่า ดวง (หัวใจ/ความรัก) แก่กัน จนทำให้ theme มิตรภาพที่พยายามสร้างมาแต่ต้นได้หายไปพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
ผมมีประเด็นที่สงสัยกับจุดหมายหนึ่งของตัวละครอย่าง ไข่มุก ที่เธอต้องการเข้าร่วมประกวดมิสบิกินนี่ ซึ่งตัวหนังได้ให้ผลรับว่า การประกวดงานมิสบีกินนี่หรือประกวดแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งหนังใช้ภาพสถานที่แห่งหนึ่งริมทะเล ในเวลากลางวันกับสาวไทยที่นุ่งบิกินนี่มาเข้าร่วมประกวด โดยมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวแต่งชาติร่วมเชียร์ มันเลยทำให้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้สร้างถึงสื่อสารว่าสิ่งนี้คือ ดำ แต่สร้างองค์ประกอบไว้เกือบขาว ถ้าเปลี่ยนมาใช้ประเด็นอย่างเรื่องความเหมาะสมสำหรับตัวละครหรือเรื่องอื่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
ผมชอบฉากเล่านิทานของไข่มุก คือจริงๆ แล้วผมว่าเป็นฉากที่น่าเบื่อมาก และไม่เกี่ยวกับประเด็นการเล่านิทานของเธอ ที่มีนักมวยคนหนึ่งในค่ายพ่อของไข่มุกและเป็นอดีตแฟนเธอ ได้ถูกพ่อเธอไล่ออกจากค่ายหลังจากทราบว่าทั้งคู่ชอบกัน เขาเลยหันมาชอบออกขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว จึงทำให้ทั้งสองไม่ได้มีเวลาเจอกัน ซึ่งตามความเข้าใจในเรื่องมันเกิดจากคนสองคนที่ชอบกัน แต่ถูกกีดกันมากกว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องของเวลาที่จะนำมาโยงสู่นิทานเรื่องนี้ได้ แต่..ด้วยการเล่าอย่างน่ารักของนักแสดง ประกอบกับมุมภาพที่ช่วยส่งเสริม ผมจึงชอบทันใด
และเมื่อพูดเลยไปถึงเรื่องภาพ ผมหลงภาพทะเลในหนังทีเดียว ทะเลบ้านเราสวยมาก แต่คนที่จะถ่ายทะเลให้เป็นทะเล และสวยมีน้อย ถ้าได้ภาพทะเลมุมสูงหรือทางอากาศอีก จะเพิ่มบรรยากาศให้ไม่น้อย
สุดท้ายกับฉากแข่งรถระหว่าง แจ๊คกับแฟนเก่าไข่มุก มันดูธรรมดาไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่สิ่งสุดท้ายที่แฝงไว้ คือการคิดถึงคนอื่น การรักษาคนอื่น ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นจุดที่ดีที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้
ถ้าคุณชอบภาพวิวทิวทัศน์โดยเฉพาะทะเล และมองข้ามความมีเหตุผลของหนังได้ โดยใช้ความสดใสของเหล่านักแสดงนำมาทดแทน หนังดูสบายๆ เรื่องนี้ก็อาจเหมาะกับคุณ
|