โจทย์บังคับที่บรรดาผู้กำกับหนังแอ็คชั่นไทย อยากให้คอหนังทุกคนพึงมีไว้ ก็คือ สูเจ้าจงไปดูหนังของข้าพเจ้าด้วยตาเท่านั้น แต่จงเอาสมองเก็บไว้ที่บ้าน เพราะฉะนั้นเวลาดูหนังแอ็คชั่นของข้าพเจ้า จงชื่นชมแต่ท่ามวยท่าแอ็คชั่นอย่างเดียว เพราะ่อั๊วใช้เกลียวสมอง (ซีกซ้ายซีกเดียว) เคี่ยวแล้วเคี่ยวอีก (และบางทีก็ไม่ได้คิดเองด้วยซ้ำ แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้กำกับคิวบู๊) ก็เลยทำให้ลืมความสมจริงหรือแก่นสารอื่น ๆ ที่หนังเรื่องหนึ่งควรจะมี
แต่ในฐานะของผู้ชื่นชมหนังแอ็คชั่นหลาย ๆ เรื่อง จนเอามาทำวิทยานิพนธ์ เพื่อคว้าปริญญาหนัง (ผู้เขียนทำวิทยานิพนธ์การเปลี่ยนแปลงหนังจอห์น วู ฉบับฮ่องกงและฉบับไปฮอลลีวู้ด) ข้าพเจ้าขอเถียงคอเป็นเอน หนังแอ็คชั่น ไม่ว่าจะมวย ไม่มวย กังฟู ง๊อไบ๊ กระบี่ ฟันดาบ ไม่ว่าจะเป็นของไทย จีน ฝรั่ง ล้วนสามารถทำให้เป็นศิลปะได้ มันขึ้นอยู่กับมันสมองของผู้กำกับว่าอยากคิดหรือเปล่าแค่นั้นเอง แม้แต่หนัง Rocky ที่ข้าพเจ้าเคยแสนจะเกลียด เพราะกลัวร่างอันกำยำของซิลเวสเตอร์ สตาโลน ข้าพเจ้าก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่ออาจารย์มาสอนให้ดูหนังประเภทนี้ ข้าพเจ้าก็เลยกลายเป็นแฟนหนัง Rocky กับ Raging Bull ไปโดยปริยาย
เพราะฉะนั้น จงอย่ามาอ้างโน่นอ้างนี่ ทำหนังไม่ดี แล้วบังคับให้แฟนหนังสิ้นคิดตาม
แต่หลังจากทำวิทยานิพนธ์เสร็จ ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้ใช้สูตรดูหนังแอ็คชั่นดี ๆ มาชื่นชมหนังมวยไทยได้อีกเลย จนกระทั่งอัศวินม้าขาวล่าสุด ไชยา ก็ช่วยขุดกรุสมองซีกซ้ายซีกขวาของข้าพเจ้า ให้วิ่งไปวิ่งมาอีกครั้ง ทั้งยังช่วยกู้หน้า ที่ข้าพเจ้าต้องเสียไป เพราะถูกเพื่อนฝรั่งหัวเราะเยาะมาตลอดในช่วงหลายปีนี้
ไชยา ฟังดูผิวเผิน ทุกคนคิดว่าจะต้องเป็นหนังชกมวย ประเภทเลือดกระฉูด ผู้ชายชกต่อยกันลูกเดียว ผู้หญิงเป็นตัวประกอบ เนื้อหาไม่สมจริง แต่เอาเข้าจริงแล้ว ธีมหลักของหนังไม่ได้อยู่ที่การชกมวยเพียงเท่านั้น ตำนานมวยไทยไชยาเป็นเพียงฉากหลังหรือเครื่องมือ ในการเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ความรักและมิตรภาพระหว่างเพื่อนชาวใต้ 3 คน เปี๊ยก ( อัครา อมาตยกุล) เผ่า ( ธวัชชัย เพ็ญภักดี) และสะหม้อ ( สนธยา ชิตมณี) โดยมีมวยไทยไชยา เป็นทั้งตัวประสานและต่อรองในการรักษามิตรภาพ ทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย
ความสัมพันธ์ของตัวละครยังรวมไปถึง สามีภรรยา (สามีผู้ปกป้องลูก) พ่อกับลูก (หลายคู่เลย ทั้งพ่อที่ชื่อสามารถกับการปกป้องลูกชายในการรักษามวยไทยไชยา) พ่อกับลูกสาว (อัครากับลูก)
และที่สำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมอาชีพเดียวกัน เปี๊ยกและสะหม้อ ได้รับคำสั่งจากเจ้านายให้ฝังศพนักมวยผู้หนึ่ง เปี๊ยกพบว่าเจ้าของศพนั้นคือคู่ต่อสู้คนแรกในชีวิตของเขา เคี่ยม หมัดควาย (ยอดสนั่น 3 K แบตเตอรี่ )
คนที่แม้เปี๊ยกจะพ่ายแพ้และบอกว่าจะเลิกชกมวย แต่เขาู้คนนี้แหล่ะที่บอกว่า้เปี๊ยกเป็นเด็กมีแวว เพียงแต่ขอให้ฝึกปรือบ่อย ๆ เพราะฉะนั้น เปี๊ยกจึงไม่ลังเลใจที่จะล้างแค้นแทน ครู คนแรกในชีวิตชกมวยของเขา
หลักจอมยุทธ์ ....เหมือนตอนดูหนังฟันดาบสมัยเด็ก ๆ หรือหนังจอห์นวู สมัยทำวิทยานิพนธ์ ส่วนในไทย เห็นมีแต่ โหมโรง เท่านั้น จำได้ไหม ตอนที่กล้องเลื่อนไปที่ภาพของขุนอิน ในฐานะที่พระเอกนับถือ เป็นอาจารย์นะคะ
ไชยา ในรอบที่ดิฉันดู เป็นรอบปิดเทศกาลหนังกรุงเทพ เต็มไปด้วยความฉับไวมาก จนบางครั้งก็เกิดอาการตามเรื่องไม่ทันเหมือนกัน ผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ รักษาโทนของหนังคล้าย ๆ กับตอนที่เขาทำเรื่อง ลองของ ฉับไว รุนแรง เพียงแต่ว่าความรุนแรงใน ลองของ เกิดจากภาพที่สยดสยอง ขณะที่ความรุนแรงใน ไชยา เป็นการประชันกันทางอารมณ์ของหนัง (ผ่านการตัดต่อที่ฉับไว) ของตัวละคร (ผ่านการแสดงออก) ผ่านความสมจริงของฉากและการแสดงต่าง ๆ ซึ่งบางตอนที่ติดต่อกัน ก็ทำให้เหนื่อยเหมือนกัน
ยังไง ดิฉันก็เป็นผู้หญิง ก็ต้องการความนุ่มนวล แม้ว่าโทนอารมณ์ดราม่าของหนัง อาจจะลดความรุนแรงของหนังไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก คิดว่าถ้ามีการตัดต่อให้ฉับไวน้อยกว่านี้ และทิ้งจังหวะของหนังมากกว่านี้ จะทำให้หนังสมบูรณ์ขึ้น และจะช่วยแก้ภาพบางภาพที่หลุดออกมา อาทิ ภาพสยามสแควร์มีร้านพิซซ่าฮัท หรือภาพห้องพยาบาลมีแล็ปท็อป แม้ว่าตอนนั้นเพิ่งจะเป็นช่วงประมาณ 2520 กว่า ๆ้ ตัวละครเพื่อน 3 คนก็เพิ่งตื่นเต้นที่ได้เห็นโทรทัศน์สี ซึ่งช่วงนั้น พิซซ่าฮัทกับแล็บท็อปยังไม่มา
การแสดงของตัวละครสอบผ่านหมด โดยเฉพาะตัวเปี๊ยก (อัครา) ซึ่งทำให้ดิฉันนึกถึง โรเบิร์ต เดอนีโรจริง ๆ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะต้องลดความแรงในบางตอนลงสักนิด เชื่อว่าเขาจะมีอนาคตอีกไกล สำหรับตัวละครรองอื่น ๆ เช่น สะหม้อ (เคยเล่นเรื่อง เหมืองแร่) และนางเอกใหม่ กิเนีย ภริตา คงเพชร รับบทเป็น ศรีไพร กำลังดีเลยค่ะ ถ้าจะมีปัญหาอยู่บ้าง ก็คงจะเป็นเต้ ไชยา ผู้รับบทเป็นแกร่งศึก
ไชยา เป็นงานที่แสดงให้เห็นว่า ก้องเกียรติยังมีหนทางอีกยาวไกลในเส้นทางกำกับนี้ งานของเขาอาจจะต่างจากผู้กำกับรุ่นพี่ในค่ายเดียวกันอย่างเป็นเอก รัตนเรือง หรือวิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง แต่ก้องเกียรติก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีแววที่สามารถทำหนังกระแสหลักชั้นดีได้ เช่นเดียวกับที่งานหนังฮอลลีวู้ดชั้นนำอย่าง Raging Bull
เพราะฉะนั้น ดิฉันไม่ลังเลใจว่า ไชยา คือ The best Thai martial arts film ร่วมสมัย ความจริงอยากบอกว่าของไทยด้วยซ้ำ แต่เผอิญไม่เคยดูหนังแอ็คชั่นสมัยก่อน ก็เลยเอาแค่ปัจจุบันไปก่อนก็แล้วกัน
|