ผลงานเรื่องที่ 6 ของหนึ่งในผู้กำกับฝีมือระดับต้น ๆ ของไทยอย่างเป็นเอก รัตนเรือง ที่คาดว่าน่าจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเรื่องราวของคนเหงา เพราะพ่อไม่สนใจ (ฝัน บ้า คาราโอเกะ) คนเหงาที่ตกงานและต้องมาเผชิญหน้ากับอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ (เรื่องตลก 69) ความโดดเดี่ยวของของหนุ่มบ้านนอกที่ถูกโชคชะตาพลิกผันในกรุงเทพ (มนต์รักทรานซิสเตอร์) ความเหงาของหนุ่มญี่ปุ่นในต่างแดน ( Last Life in the Universe) ก่อนที่จะมาเป็นหนุ่มที่รู้สึกผิดกับการรฆาตกรรมของตนเองใน Invisible Waves มาเป็นเรื่องราวความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของภรรยาที่มีต่อสามี หลังจากที่เห็นชื่อและเบอร์โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อผ้าของเขา
เพราะฉะนั้น เมื่อเขานำเด็กสาวอายุสิบเก้าคนหนึ่งชื่อ พลอย เข้ามาร่วมนอนห้องด้วย เพียงเพื่อช่วยเธอระหว่างที่รอผู้เป็นแม่มาจากสต็อกโฮลม์ แดงผู้เป็นภรรยาจึงถกเถียงกับวิทย์ผู้เป็นสามี และใช้วิถีทางที่จะกำจัดเด็กสาวไป
แต่ พลอย ในแนวเรื่องที่เปลี่ยนไป ยังคงเล่าเรื่องด้วยโทนแห่งความสงสัย ไม่แน่ใจ หรืออาจจะกล่าวได้ว่านี่เป็นฟิลม์นัวร์ฉบับปัญหาครอบครัวก็ว่าได้ เพียงแต่ไม่มีการฆาตกรรมอย่างใน Invisible Waves เหมือนกับจะสะท้อนความคิดในจิตใจของตัวละครทุกตัว วิทย์ตั้งใจจะช่วยเด็กสาวพลอยจริงหรือ เขาไม่ได้ต้องการฉวยโอกาสจะนอนกับเด็กจริงหรือไม่ เช่นเดียวกับจิตใจของแดงที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือ ในใจของเธอต้องการจะกำจัดเด็กออกจากห้องอยู่เสมอ แต่ฉากหน้าเธอยังคงมีความโอบอ้อมอารีต่อเด็กสาวอย่างผู้ใหญ่ที่พึงควรกระทำ
หรือแม้แต่ พลอย เอง ซึ่งมารอแม่ หรือเป็นเพียงเด็กใจแตกอย่างที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มรำพึงกับวิทย์
และหนังก็คุมโทนเหล่านี้ตลอด ด้วยองค์ประกอบของหนังต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แสง ซึ่งคุมให้สลัว ๆ และมืด ๆ ตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นช่วงเช้าของวัน แต่ม่านในห้องกลับปิดตลอดเวลา ดูแล้วชวนให้นึกถึงฉากมืด ๆ ใน เรื่องตลก 69 แม้กระทั่งดนตรีประกอบก็รักษาโทนเช่นนี้ไว้
หนังเล่าเรื่องโดยใช้เหตุการณ์ของคน 2 คู่คู่ขนานกัน คู่แรกก็คงเป็นข้อขัดแย้งระหว่างแดงและวิทย์ ส่วนคู่ที่สองก็เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบาร์เทนเดอร์หนุ่มและสาวทำความสะอาดของโรงแรม แต่วิธีการนำเสนอไม่ได้คู่เคียงกันไปตลอด เท่า ๆ กับที่อัตราส่วนของการนำเสนอเหตุการณ์ที่สองนั้นน้อยกว่า
เห็นได้ชัดว่าเป็นเอกต้องการใช้เหตุการณ์ที่สองเป็นตัวเปรียบเทียบความสัมพันธ์กับคู่แรก ขณะที่คู่ชีวิตอย่างแดงและวิทย์จะใช้เวลามานานร่วมเจ็ดปี แต่กลับไร้ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกัน ขณะที่คู่ของนัท (อนันดา) และตุ้ม (พรทิพย์ ปาปะนัย) บาร์เทนเดอร์และแม่บ้านของโรงแรม ซึ่งตลอดทั้งเรื่องไม่ได้พูดคุยกันเลย มาถึงก็มีเซ็กส์กันทันที
บางทีการดำเนินชีวิตคู่นั้น อาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดกันมากมาย
หนังดำเนินเรื่องช้ามาก เหมือนกันจะสะท้อนภาวะความคลุมเครือในจิตใจของตัวละคร ซึ่งแม้จังหวะของหนังจะช้าและมืดครึมเช่นนี้ ก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องนี้ชัดเจนขึ้น
และที่สำคัญ เมื่อถึงฉากจบ เราก็มาถึงข้อสงสัยอีกต่อหนึ่งว่า ตกลงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่เมื่อพลอยเดินเข้ามาในห้อง มันเป็นจริงหรือไม่ ทั้งหมดอาจจะเป็นเพียงสิ่งที่แดงคิดขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแดงนำสร้อยคอของพลอยมาใส่แล้ว พร้อมกับที่นักวิจารณ์ฝรั่งคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า อภิญญา ผู้แสดงเป็นพลอยนั้น หน้าตาเหมือนหมิว ลลิตา
ถึงตรงนี้ ผู้เขียนเกิดคิดได้ว่า บางทีเรื่องราวทั้งหมดอาจจะไม่เป็นจริง ตัวพลอยเอง อาจจะเป็นเพียงสิ่งที่แดงคิดขึ้น หลังจากที่พบชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของคนอื่นในกระเป๋าของสามี
พลอย เป็นหนึ่งที่ดูยากที่สุดในบรรดาหนังของเป็นเอกทั้งหมด และต้องใช้ความอดทนสูงในการดูอยู่ไม่น้อย แต่ลายเซ็นเดิม ๆ ของเขาหลายอย่างยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพลง โทนของหนัง และการแสดงของดารา และในความอึมครึมนี้ ก็มีเสน่ห์บางอย่างให้ค้นหาต่อไป
แนะว่า ให้อดทนดู เพราะทุกอย่างมันมาเฉลยตอนจบ ทุกอย่างมันวนมารับส่งกันตอนนั้น ความคลุมเครือของหนังที่เป็นเอกทิ้งไว้ในจิตใจของตัวละครตั้งแต่ตอนแรก จะบอกนัยบางอย่าง และทุกอย่างต้องสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของหนังแต่ละตอนให้ดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นพลอย ฉากการไล่ล่าระหว่างแดงกับหนุ่มคนร้าย หรือแม้กระทั่งฉากงานศพในตอนจบ
ทุกอย่างมันเป็นจริงหรือไม่
ซึ่งความคลุมเครือเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเจตนาของผู้กำกับที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ก็ต้องรอดูผลตอบรับเดือนหน้านี้นะคะ
|