ก่อนไปดู เก๋า .. เก๋า ตัวดิฉันค่อนข้างจะคาดหวังจากหนังเรื่องนี้มาก หวังที่จะได้เห็นหนังเพลงตามแบบฉบับที่ควรจะเป็นจริง ๆ คือ มีเพลง มีฉากที่ตัวละครออกมาเต้นรำ ทำท่าทำทางเข้ากับจังหวะเพลง ยิ่งได้อ่านในข้อมูลประกอบหนัง กล่าวไว้ว่ามีฉากที่แอร์โฮสเตสออกมาเต้นรำจริง ๆ ก็ยิ่งทำให้ตัวเองอยากไปดูหนังเรื่องนี้มากขึ้น
เท่าที่ผ่านมานั้น หนังเพลงบ้านเรามีรูปแบบที่ค่อนข้างจำกัด มีแต่ฉากร้องเพลง แต่นักแสดงไม่ออกมาเต้นรำตามจังหวะเพลงสักเท่าไร อย่างที่เราเห็นในหนังฝรั่งหรือแม้แต่หนังแขกก็เถิด อ้าว พูดกันง่าย ๆ ลองนึกภาพ จีนส์ เคลลี่ ในฉากร้องเพลงของ Singing In the Rains สิ เราแทบจะไม่เห็นหนังเพลงในรูปแบบดังกล่าวในหนังไทยเลย เพราะเรามักจะเลือกคนดัง ไม่ว่าจะเป็นนักร้องหรือนักแสดงมาเล่นนำ ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ค่อยมีเวลามาฝึกซ้อมเหมือนจีนส์ เคลลี่เขา หนังเพลงของเราก็เลยมีร้องเพลงลูกเดียว อาจจะมีการเต้นบ้างก็มีแต่พวกหางเครื่องเท่านั้น
เท่าที่ผ่านมา เรามีหนังไทยเพียงเรื่องเดียวที่ต้องการนำเสนอหนังเพลงดังกล่าว นั่นก็คือ เทพธิดาบาร์ 21 เพราะพี่หง่าว ยุทธนา มุกดาสนิท เขาตั้งใจที่จะทำหนังเพลงอย่างนั้นออกมาจริง ๆ นอกนั้นเราก็จะเห็นมีเสริมฉากเต้นประกอบบ้างเป็นบางฉากในหนังบางเรื่อง อาทิ เงิน เงิน เงิน หรือแม้แต่ หนูหิ่น ก็มีออกมาอยู่ตอนต้น จากนั้นก็เงียบหายไปอีก
เพราะฉะนั้น ตนเองจึงคาดหวังรูปแบบหนังเพลงดังกล่าวจากหนังมาก
แม้จะไม่ได้ดูหนังเพลงอย่างที่ตนเองคาดหวังไว้จาก เก๋า
เก๋า แต่ตนเองกลับลืมอารมณ์ขุ่นมัวตรงนั้นเสีย เพราะสิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้ คือ ความตลกที่สร้างอารมณ์ให้กับหนังได้ต่อเนื่องเกือบตลอดทั้งเรื่อง ถ้าจะหล่นหายไปบ้าง ก็ช่วงตอนท้าย ๆ ก่อนที่หนังจะจบ
เก๋า
เก๋า อาจจะไม่ใช่งานยิ่งใหญ่อย่างที่ตนเองคาดหวังไว้ก่อนหน้านี้ ที่จะได้เห็นภาพตื่นตาตื่นใจกับเครื่องแต่งกาย เพลง และรูปแบบฉากในอดีตของหนัง
แต่สิ่งที่ตัวดิฉันได้กลับเป็นสิ่งตรงข้าม คือ จุดเล็ก ๆ ที่ใครอาจจะนึกไม่ถึง
จุดขบขันของหนังเรื่องนี้นั้น ไม่ได้พัฒนาจากมุขอย่างที่เห็นในหนังตลกส่วนใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่ได้ใช้การนำเสนอภาพและการตัดต่อเข้ามาช่วย
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ตอนตัดภาพให้วงเดอะพอสสิเบิ้ล มาเล่นประกอบการเต้นแอโรบิคออกกำลังกายทุกเย็นอย่างที่เห็น
หรืออย่างตอนต๋อย โจอี้ บอย ทำให้ต๋อย เศรษฐา เป็นลมนั้น จนคนนึกว่าตีกัน การตัดต่อช่วยตอนนี้อยู่มาก
ดิฉันชอบที่หนังไม่ได้เน้นเรื่องการปะทะระหว่างวัฒนธรรมเก่าและใหม่มากเกินไป หนังไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่วง The Possible ต้องมาเผชิญหน้ากับโลกในปี 2549 ไม่ได้หวนหาอดีตมากเกินไป ว่าไปแล้ว หนังเรื่องนี้พูดถึงของเก่า เฉพาะเครื่องแต่งกาย และเพลงวงสตริง อีก 3-4 เพลงที่มาใช้เท่านั้น นอกนั้นก็เป็นแนวคิดร่วมสมัยเสียมากกว่า
เพราะฉะนั้น นี่ไม่ได้หนังหวลหาอดีตอย่างที่คิดไว้ และไม่ได้เป็นการปะทะระหว่างวัฒนธรรมเก่าใหม่ จนมากเกินไป แต่เป็นความสัมพันธ์ของคนกลุ่มหนึ่งในช่วงสองเวลา
และดิฉันยอมรับ การแสดงของตัวละครทั้งหลักและประกอบในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของเพื่อนวง The Possible ทั้งวง และความสัมพันธ์ในฐานะแฟนเก่า รวมทั้งอาแป๊ะ เจ้าของโรงหนัง ได้ถ่ายทอดจุดนี้ได้ดีที่สุด
ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ ตัวเองนึกไปถึง สตรีเหล็ก เปล่าค่ะ ไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องนี้ลอกเลียนวิธีการอย่างสตรีเหล็ก แต่เพราะการแสดงของตัวละครส่วนใหญ่ทั้งหมด
ดิฉันยอมรับว่า ที่หนังดูสนุก ไม่เบื่อเลย ก็เพราะตัวละครทั้งหมดของหนัง ทั้งนักแสดงหลักอย่างโจอี้ บอย สองพาราด็อกซ์ ยุทธนา ธุวะประดิษฐ์ ทั้งที่พวกเขาเพิ่งเล่นหนังเป็นครั้งแรก ถ้าจะต้องปรับปรุงสักนิด ก็คงจะเป็นโป้ โยคีเพลย์บอย และโบ ธนากร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักแสดงประกอบอย่าง ลุงแฟนพันธุ์แท้ และอาแป๊ะคนจีน เจ้าของโรงหนังพระโขนงราม่า คนทั้งสองถ่ายทอดบทบาทเล็ก ๆ ของตนเองได้อย่างดี อย่างตาแป๊ะนั่น แกไม่ได้หวนหาอดีต ไม่ได้ทันสมัย แกก็ไปเรื่อย ๆ ตามสไตล์ของแก เหมือนอย่างอาแป๊ะข้างบ้านเราสมัยเด็ก ๆ
โดยรวมแล้ว เก๋า
เก๋า อาจจะไม่ได้เป็นหนังเพลงอย่างที่ตนเองหวัง แถมเพลงประกอบในหนังน้อยมาก และหนังมีจุด clich? หลายอย่างมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟน หรืออื่น ๆ แต่จุดแข็งในเรื่องตลก และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ได้ปิดรอยด่างเหล่านั้นไว้ ทำให้ เก๋า .. เก๋า เป็นหนังสนุกเรื่องหนึ่งที่ไปดูได้อย่างไม่รู้สึกหงุดหงิดใจนัก
ทั้งความตลก และความสัมพันธ์ของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง โดยมีเพลงเป็นเพลงส่วนประกอบของหนังเท่านั้น
เป็นหนังที่ไปดูเพลิน ๆ ได้เรื่องหนึ่ง โดยไม่รู้สึกรำคาญค่ะ |