งานวิจารณ์ชิ้นนี้มาอย่างล่าช้ามาก เพราะทีมงานติดภารกิจที่เทศกาลหนังกรุงเทพ จนเราตัดสินใจส่งคอหนังเฉพาะกิจไป แต่ปรากฏว่าตัวแทนไปดู แต่ไม่ยอมเขียน
คนเราก็โต ๆ กันแล้ว น่าจะรู้จักความรับผิดชอบกันเอง งานนี้สะท้อนให้เห็นเหมือนอย่างผลการวิจัยของอาจารย์เจตนา นาควัชระ่ไว้ไม่มีผิด อาจารย์ท่านบอกไว้ว่าสังคมไทยเป็นสังคมมุขปาฐะ ดีแต่การวิจารณ์ทางวาจา พอจะให้ทำเป็นกิจจะลักษณะกันแล้ว กลับหนีหน้ากัน
บ่นไปแล้ว ก็ขอมาพูดถึงเรื่องเด็กหอกันซะที ไปดูหนังเรื่องนี้ถึง 2 รอบในเวลาห่างกันเพียง 4 วัน รอบแรกไปดูเพราะอยากดู รอบสองไปดูเพราะรู้ว่าถ้าต้องเขียนวิจารณ์หนังเรื่องนี้ รอบเดียวท่าจะไม่พอ การดูถึงสองรอบกลายเป็นข้อดีไป เพราะจับรายละเอียดอะไรได้มากมาย
จากเพียงผลงานเรื่องที่สอง ผู้กำกับทรงยศ เขาสอบผ่านหมดแล้ว ทั้งการกำกับหนังดี ๆ เรื่องหนึ่ง เด็กหอ แสดงให้เห็นว่าทรงยศเขาเอาอยู่ในการกำกับการแสดง การคุมมุมกล้อง การใช้แสง สี การตัดต่อ และบทอ้าว ไม่ต้องพูดถึงจินตหรา สุขพัฒน์ล่ะ แต่การที่เขาสามารถกำกับนักแสดงเด็กทั้งหมด ซึ่งเป็นดาราใหม่เกือบทั้งหมดนี้ถือว่าใช้ได้
สิ่งที่ดิฉันชอบในหนังเรื่องนี้มีอยู่หลายจุด อันแรกก็คือการแสดงของจินตหรา และ แน็ค ชาลี ไตรรัตน์ จินตหราไม่ต้องพูดถึงกันล่ะ ฝีมือระดับนี้ รู้ ๆ กันอยู่แล้ว บทบาทของครูผู้รู้สึกผิดตลอดเวลา ว่าตนเองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กคนหนึ่ง แล้วจินตหราแกดูเหมือนครูจริง ๆ นะคะ ครูยอดดุสมัยเด็ก ๆ ของเราทุกคน แต่เราก็จะจดจำได้จนถึงทุกวันนี้
ที่ดิฉันประทับใจมากที่สุดเห็นจะเป็นน้องแน็ค เขาพัฒนาฝีมือดีขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากมีผลงานเรื่องที่แล้วอย่างแฟนฉัน คราวที่แล้วผู้กำกับต้องใช้การตัดต่อช่วยด้วยเยอะมาก แต่คราวนี้น้องแน็คแกเป็นตัวของตัวเองเยอะมาก ดิฉันก็จำไม่ได้ว่าสามปีที่ผ่านมา น้องแน็คแกเล่นหนังเล่นละครมากี่เรื่องแล้ว แต่เอาเป็นว่าแกจะพัฒนาเป็นนักแสดงฝีมือดีได้ในอนาคต ถ้าเขาจะยืนหยัดเล่นหนังต่อไป ดิฉันก็อยากเห็นดาราสักคนที่มีฝีมือดี ๆ ตั้งแต่หนุ่มสาว ก็หวังจากน้องแน็คและดาราเด็กจาก แฟนฉัน นี่ล่ะค่ะ
อีกเรื่องที่ชอบก็คือ จุดเล็ก ๆ ที่แทรกในบท รอบแรกที่ดูหนังเรื่องนี้นั้น มันทำให้ดิฉันนึกถึง The Sixth Sense ที่บรูซ วิลลิส ผีที่ไม่ยอมรับว่า ตนเองตายแล้ว และโลกของผีที่ดูเหมือนคนใน The Others
เด็กหอ สลายโครงสร้างผีที่น่ากลัวเหมือนอย่างหนังสองข้างต้น แต่แทนที่จะเป็นการสำรวจภาวะจิตวิทยาของผีในหนังที่กล่าวข้างต้น เขาหันมาจับเรื่องมิตรภาพของคนกับผี
เพราะผีไม่น่ากลัว การอธิบายพิธีกรรมของผีที่หลอกคน ไม่ว่าจะเป็นออเคสต้าหมาหอน หรือผีผิวปากเวลาเด็กเข้าห้องน้ำคนเดียว หรือเงาของผีที่แง้มพรายมาจากเบื้องหลัง จึงมีที่มาที่ไป เป็นอะไรที่น่ารัก
. ให้ตายเถิด
ส่วนเรื่ององค์ประกอบของหนังด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ การคุมโทนสี มุมกล้องที่หลอกคนดูมาตลอด ความจริงวิเชียรปรากฏตัวตั้งแต่ฉากแรกแล้วที่ชาตรีเข้าหอ รวมทั้งภาพหอนักเรียนที่ดูเหมือนคุกมากกว่าหอในช่วงแรก ๆ ของหนัง มันแสดงให้เห็นความละเอียดลออในฝีมือของทรงยศ
ถ้าจะมีปัญหา ก็ตรงช่วงกลางเรื่องเริ่มช้าไปนิด ช่วงที่ไปเที่ยวกันนั้นน่ะ ยืดเยื้อไปหน่อย อีกอย่างสไตล์ของหนังในเรื่องนี้ดูธรรมดาไปนิด ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างนะคะ อย่าง เพื่อนสนิท นั่นนะ องค์รวมของหนังไม่ดีนัก แต่ฉากสารภาพรักฉากเดียวที่ใช้ภาพลองช็อตและเปรียบเทียบกันระหว่างสองคู่ ฉากเดียวนี้ล่ะค่ะที่ดิฉันเห็นแววของคมกฤช ส่วนของทรงยศจะสวนทางกัน ก็คือองค์รวมของหนังดี แต่ไม่มีตอนหวือหวา จะมีก็แค่ฉากดูหนังผีกันนั่นแหล่ะที่ดี วังเวง น่าตื่นเต้นดี
จากฝีมือศิลปินเดี่ยวอย่าง เด็กหอ ของทรงยศ ดิฉันคิดว่าเขาสอบผ่านหมดแล้วในกระบวนการทำหนังดีเรื่องหนึ่ง ได้มาตรฐานสากลอย่างเห็นได้ชัด ส่วนจะขึ้นชั้นผู้กำกับแนวหน้าในระดับสากล เหมือนรุ่นพี่อย่างอภิชาติพงศ์ เป็นเอก วิศิษฐ์ หรือนนทรีย์ได้หรือไม่ ต้องดูแนวหนังเรื่องต่อไป เพราะหนังผีหรือหนังตระกูลต่าง ๆ นั้นค่อนข้างมีข้อจำกัดที่จะก้าวไปตามเทศกาลหนัง แต่ถ้าเขามีโอกาสทำหนังเนื้อหาลุ่มลึกมากขึ้น ฝีมือเขาได้อยู่แล้ว
และถ้าเขามีโอกาสแล้ว น่าจะทำหนังโปรเจ็คเล็ก ๆ ตัวละครไม่กี่คน เนื้อเรี่องและสถานที่ถ่ายทำไม่ยากลำบากมากนัก คล้าย ๆ เด็กหอ นี้ เพราะถ้าโปรเจ็คใหญ่เกินไปแล้ว อาทิ ต้องการสถานที่หรือฉากใหญ่โต อย่างเหมืองแร่ หรือต้องดูแลตัวละครเยอะ ๆ อย่างนเรศวรแบบนี้ อาจจะยากต่อการควบคุม และทำให้รายละเอียดตกหายไป ซึ่งเป็นจุดแข็งในการกำกับของทรงยศเขา
ตอนนี้ก็รอแต่โอกาสและนายทุนใจกว้างเท่านั้นค่ะ
|