หลังจาก นางนาก เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ล่าสุด TIMELINE จดหมาย-ความทรงจำ ภาพยนตร์รักของพี่อุ๋ย ทำไมถึงห่างหายไปนาน
เรามีหนังรักดูอยู่ทุกปี ก็มีความประทับใจที่แตกต่างกันไป มันสามารถสัมผัสได้กับทุกๆ คน ผมอยากบอกว่าผมซ่อนความรักเอาไว้ในหนังผมทุกเรื่อง อาจจะแสดงออกมากบ้างน้อยบ้าง ที่ใช้เวลานานมากเพราะความรักเป็นเรื่องที่ต้องการประสบการณ์ในการเติบโต นางนาก เราพูดถึงในความรักเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเป็นความรักที่ผมรู้สึกว่ามันไม่สมหวัง ความรักที่บริสุทธิ์มากๆ ผมนำเสนอในมุมของความรักที่มีอุปสรรคในแง่ของความเป็นคน ความเป็นผี ความแตกต่าง พอถึงจุดหนึ่งเราอยากทำหนังเรื่อง เดอะเลตเตอร์ เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมกับคุณอ้อมก็มีไอเดียกันว่อยากทำหนังเรื่องนี้ อยากให้คนดูได้รับความประทับใจ อยากให้คนดูรู้สึกว่ามันมีสิ่งที่มันสามารถสัมผัสในหัวใจของคนได้ ให้เป็นหนังรักดีๆ สักเรื่องที่เก็บเอาไว้สำหรับทุกคนที่จะไม่ลืมเลือนมันไป มันสามารถสัมผัสไปถึงหัวใจของผู้ชมได้ตลอดเวลา
จุดเริ่มต้นของ TIMELINE จดหมาย-ความทรงจำ อยากให้เล่าถึงที่มาที่ไปของการเกิดโปรเจ็คต์หนังรักเรื่องนี้
วันหนึ่งระหว่างที่ผมนั่งดูเฟสบุ๊คอยู่ เราก็เริ่มรู้สึกว่ายุคปัจจุบันนี้ มีสังคมที่เราไม่รู้จักกันมาก่อนทุกคนจะมีไทม์ไลน์เป็นของตัวเอง มีการบรรยายความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้นในเฟสบุ๊ค ผมเห็นหลายครั้งที่เกิดความรักขึ้นในหน้าเฟสบุ๊คกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากคนรอบๆ ตัวของผมตั้งแต่รุ่นน้อง จนกระทั่งรุ่นโตคนทำงาน แล้วเราไม่ได้มีหนังรักในการพูดถึงความรักในลักษณะจริงจังมานานแล้ว เมื่อก่อนนี้ความรักที่มันเติมเต็มกัน ไปยืนดูหลังคาบ้านเขานี้มันเป็นยังไง แล้วมันอาจจะทำให้น้องเขาฉุกคิดได้นิดหนึ่ง ว่าความรักที่มันรวดเร็ว แบบปัจจุบันนี้มันดีจริงหรือเปล่า สามารถสร้างความรักนี้อย่างที่มันยืนยาวได้จริงๆ หรือ ก็คิดว่าเราจะเริ่มต้นทำหนังรักขึ้นมาจริงๆ อีกสักเรื่องหนึ่ง ก็ใช้เวลาอยู่ประมาณ 2 ปี ในการจะที่ค่อยๆ ลำดับเราควรจะพูดถึงหนังเรื่องนี้ในแบบใดบ้าง ควรจะเลือกหยิบจับอะไรบ้างใช้เวลาอยู่นานมาก จนเป็นบทภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ เพราะฉะนั้นมันก็จำเป็นที่จะต้องพูดเกี่ยวความรักใน ภาพยนตร์เรื่อง Timeline จดหมาย-ความทรงจำ ในสองมุมนะครับ คือมุมหนึ่งก็คือพูดถึงความรักในปัจจุบันของคนวัยรุ่น อีกมุมหนึ่งก็พยายามจะเปรียบเทียบให้เห็นถึงความรู้สึกของความรักในอีกแง่มุมหนึ่งในสิ่งที่เขาเคยทำกันมา มีความลึกซึ้ง มันมีความละเอียดอ่อนยังไง แล้วคนเดี๋ยวนี้ใช้สื่อโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คอะไรบ้างที่จะสื่อสารในด้านความรัก ว๊อทแอป ไลน์ วีแชท สารพัดที่จะมีการสื่อสาร บางครั้งเราไม่ได้โทรศัพท์คุยกันความรู้สึกอารมณ์ของเสียงมันไม่เกิดขึ้น บางทีเราอ่านไทม์ไลน์บนเฟสบุ๊คมันขาดความรู้สึกลึกๆ ภายในการถ่ายทอดความรู้สึกในแง่ของอารมณ์มุมของความรักนะครับ เราเลยพยายามจะเปรียบเทียบสองอย่างนี้เอาไว้ด้วยกันในบทภาพยนตร์ แล้วก็ใช้ตัวแทนของคนรุ่นใหม่มาสื่อสารความรู้สึกเหล่านี้ ก็เลือกเอา เจมส์ จิรายุ, น้องเต้ย จรินทร์พร, คุณป๊อก ปิยธิดา เลือกเอานักแสดงที่เรียกว่ามีคุณภาพเข้มข้น ทุกคนมาสื่อสารกับคนรุ่นใหม่เพื่อที่จะให้เข้าใจถึงความรักในรูปแบบปัจจุบันครับ
เมื่อพูดถึงหนังรักสักเรื่อง ย่อมมองข้ามไปไม่ได้เลยทั้งเรื่องภาพ เนื้อหา หรือเรื่องราวสำหรับ TIMELINE จดหมาย-ความทรงจำ เข้าข่ายในองค์ประกอบเหล่านี้ด้วยไหม
เราจะสังเกตว่าเวลาจะทำหนังรักสักเรื่องโลเคชั่นสวยๆ มันก็จะเอื้อช่วยให้หนังรักมันรู้สึกว่าโรแมนติคขึ้น แต่ภาพที่ผมเห็นครั้งแรกมันคือ ภาพที่ทำอย่างไรก็ได้ให้คนดูรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับเรามากที่สุด นึกอะไรไม่ออกไปกว่าต้นบ๊วยเลยครับ ถ้าเราจะหยิบมันเป็นสัญลักษณ์กันอีกครั้งหนึ่ง มันควรสื่อสารอะไรได้บ้าง อันดับแรก หนังเรื่องนี้เราพูดถึงคนที่อยู่ในเมืองหลวง กับคนที่อยู่ในชนบทในเรื่องนี้มันมีความผูกพันกันอยู่ เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าเมืองเมื่อไหร่ภาพในหัวของผมคือภาพที่เกิดจากการบันทึกอะไรก็ได้รอบๆ ตัว ภาพในหนังเรื่องนี้มันจะเป็นอารมณ์ของคนในยุคปัจจุบัน การที่เขาจะเก็บภาพความประทับใจเขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายเอาไว้ ทำให้ลืมฟิลลิ่งของคนในแง่ของความทรงจำ ฉะนั้นคนเหล่านี้เขาใช้เมมโมรี่โทรศัพท์มือถือแทนความทรงจำ หนังที่ชื่อว่าไทม์ไลน์เป็นการเริ่มต้นในการทำหนังจดหมายเป็นบทภาพยนตร์ แล้วความทรงจำก็คือการถ่ายทอดเรื่องราว Timeline จดหมาย-ความทรงจำ นี้มันมีความหมายของมันว่าตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนเราปัจจุบันนี้จะใช้ความรู้สึกของตนเองในการที่จะสัมผัสสิ่งต่างๆ ความรัก ความงาม รับมา-ถ่ายทอดออกไป ด้วยวิธีการเร็วไปหมดเลย เราไม่ค่อยให้ความสำคัญ หนังเรื่องนี้จะบอกด้วยครับว่า ความทรงจำของคนนี้มันหายไปจากสมอง มันก็เลยไม่ค่อยใช้ความรู้สึกในการที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ไม่ได้ซึมซับความรู้สึกเอาไว้ในใจ
ทราบว่าโลเกชั่นของหนังเรื่องนี้ก็มีส่วนสำคัญเห็นว่าเปรียบได้กับฉากหรือตัวละครสำคัญในภาพยนตร์เลยด้วย
การที่เราเลือกเอา สะเมิง (จ.เชียงใหม่) เลือกเอาอ่างขางมาเป็นโลเคชั่นหลักในหนังเรื่องนี้ ให้คนดูได้ซึมซับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพาร์ทของแม่ลูกเพื่อจะนำคนดูให้ได้รู้ถึงแบคกราวด์ที่มาที่ไปของตัวละครแทนเด็กหนุ่มที่เป็นตัวเอกของเรื่องซึ่งจะบ่งบอกถึงที่มาที่ไปซึ่งเป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นของแม่ด้วย เกาะสีชังเป็นโลเคชั่นที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯมากๆ งดงามมาก แต่ว่าไม่ค่อยมีใครไปเที่ยวสักเท่าไหร่ คือพาหนะในการเดินทางของตัวละครในหนังเรื่องนี้ทั้งหมดมันคือจักรยาน ซึ่งมันสามารถจะขี่จักรยานไปได้แน่ๆ เราก็พยายามจะเลือกโลเคชั่นที่มันไม่ไกลมาก แต่ว่ามีความสมบูรณ์แบบมีสิ่งที่ทำให้ตัวละครสามารถจะเกิดความประทับใจในสถานที่ต่างๆ เหล่านั้นได้ คือตัวละครของหนังเรื่องนี้มีทั้งตัวละครที่เขาเข้าใจชีวิต เขารู้ว่าชีวิตเขาจะทำอะไร แต่ตัวละครอีกตัวหหนึ่งในหนังเรื่องนี้ไม่รู้จักชีวิตเลยไม่รู้จะก้าวเดินไปทางไหน เพราะฉะนั้นและเมื่อมันเกิดการนำพาชีวิตไปในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เก่า เพื่อระลึกถึงความทรงจำต่างๆ ที่มันหายไปสำหรับคนปัจจุบัน หรือบางคนไปทุกวันผ่านทุกวันเราไม่เคยสังเกตุเห็นมุมมองนี้เลย ผมพยายามบอกทีมงานแล้วก็บอกช่างภาพเสมอ ว่าผมอยากเห็นกรุงเทพฯ ในแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เห็น หรือไม่เคยสังเกตุ การเลือกโลเคชั่นต่างๆ นี้ล้วนมีความหมายในทุกๆ แง่มุม เรามีไลฟ์สไตล์เรามีชีวิตที่เร่งรีบมาก คือความทรงจำที่มันควรจะถูกท่ายทอดเอาไว้ในหนังเรื่องนี้ทั้งหมด
ช่วยเล่าถึง TIMELINE จดหมาย-ความทรงจำ ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
เริ่มต้นจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เขายึดมั่นความรักของเขา เขารู้สึกว่าความรักของเขามันถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์ แล้วมันก็หลุดหายไป ทำให้เขายังคงฝังใจยังคงรู้สึกประทับใจ รู้สึกว่าอยากจะเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ให้เต็มที่ แต่ทีนี้เมื่อเขามีตัวแทนของความรักของเขาขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ก็คือรุ่นลูกของเขา ก็พยายามจะถ่ายทอดความรู้สึกแบบนั้นลงไปสู่ลูกเขาด้วย เท่ากับว่าลูกคนนั้นก็จะอยู่ใต้ร่มเงาความรักของเขากับแฟนของเขามาโดยตลอด เมื่อถึงวันหนึ่งเด็กคนนั้นเขาโตขึ้นมาด้วยการอยู่ภายใต่ร่มเงาความรักของพ่อและแม่มาโดยตลอด เขาก็จะมีความรู้สึกว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาจะมีชีวิตเป็นของเขาเอง พยายามจะหลุดออกจากความรู้สึกเหล่านี้ เขาอยากจะมีชีวิตของเขาเอง อยากเลือกทางเดินของตัวเอง ไปผจญชีวิต ผจญภัยเพื่อจะไปหาความรักของตัวเอง หาความรู้สึกของตัวเอง ไปเรียนรู้กับโลกใบนี้ด้วยตัวของเขาเอง แล้วสุดท้ายเขาจะไปเจออะไร เขาจะได้รับความรักกลับมาหรือไม่ หรือว่าเขาจะรู้สึกกลับมาถึงร่มเงาเดิมนั้นอย่างไร นั่นก็เป็นเนื้อหาของเรื่องที่หนังจะนำพาตัวละครตัวนี้ ไปค้นหาความรักของตัวเขา อยู่ในเมืองหลวงแล้วก็เรียนรู้ชีวิตไลฟ์สไตล์ของชีวิตคนในเมืองหลวงอีกรูปแบบหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ค้นหาความรัก ตัวนางเอกของเรื่อง เขาก็ค่อนข้างจะรู้จักชีวิตของตัวเองดีมากๆ พยายามเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลกแบบนี้อย่างมีความสุข ขณะเดียวกันเขาก็ได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเกิดความรัก แล้วทั้ง 2 คนก็ต่างเป็นแรงบันดาลใจซึ่งกัน และกัน ในการที่จะหาว่าตัวเราเป็นใครบนโลกใบนี้ให้พบ แล้วก็พยายามจะสานต่อความฝันอันนั้นต่อกันไป
เรื่องราวเป็นหนังรักโรแมนติค ที่แต่ละตัวละครจะถ่ายทอดคาแรคเตอร์จากบทภาพยนตร์ย่อมมีความสำคัญมากๆ
ตัวละครทุกตัวเราตัดสินใจยากมาก ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้มีความสำคัญ หลายๆ ความรู้สึกไม่มีคำพูดด้วยเขาจะต้องเป็นนักแสดงที่มีความสามารถมากๆ เลยทีเดียว โดยเฉพาะบทของ มัท ที่เป็นแม่ที่ต้องเก็บงำความรู้สึกทุกอย่าง ไว้ในใจของตัวเอง โดยที่เขาไม่ได้มีคนที่คอยปรึกษา คือเหมือนจริงๆแล้วเขาเล่นอยู่คนเดียว ต้องผจญชีวิตอยู่คนเดียว ทำงานหนักอยู่คนเดียว แถมจะต้องทำให้ลูกตัวเองมีความสุขด้วย ป๊อก ปิยธิดา เป็นคนที่ผมนึกถึงความสามารถในการแสดง ผมอยากได้เขามาถ่ายทอดเอาความรู้สึกทั้งหมดออกมาให้ละเอียด แล้วก็ไม่รู้สึกว่าเราไปบีบคั้นตัวละครตัวนี้มากเกินไป หรือบีบคั้นคนดูมากเกินไป ป๊อกทำได้ดีมาก ผมเซอร์ไพรส์เกินความคาดหวังที่ผมคิดเอาไว้เยอะ ป๊อกทำงานไป ถ่ายหนังไปร้องไห้ไปต่อเนื่อง เราได้คนมาถ่ายทอดความรู้สึกนี้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ระหว่างที่เราถ่ายทำ ซึ่งตัวผมเป็นคนที่จะต้องอินอยู่กับบท นักแสดงถ่ายๆอยู่ก็สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา แล้วยิ่งไดอะล็อคที่เราเขียนทุกตัว เราจะรู้ว่า ประโยคนี้ถ้าเอาออกมาไม่ได้ ทำให้คนดูรู้สึกไม่ได้ ทำให้ตัวละครที่เข้าฉากกันอยู่รู้สึกขนาดนั้นไม่ได้นี้ มันเป็นความผิดพลาดของเราเลยนะ เราใช้ความรู้สึกของเราเป็นตัววัดระดับของการแสดง ควบคุมปริมาณของอารมณ์ในแต่ละฉากไม่ให้มันเท่ากันเกินไป มากไป น้อยไป แต่ว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่น้อยกว่าที่ตั้งไว้เลยครับ คือในการศึกษาและการทำงานของ ป๊อกเขาได้ศึกษาบทมาอย่างดีมากครับแล้วก็การบ้านของเขานี้เต็มร้อยทุกฉากนะครับ
ป๊อก ปิยธิดาเป็นตัวละครที่นอกจากจะต้องถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่ลึกๆ ในใจให้กับคนดูแล้วยังต้องมีบทบาท และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวละครอีกหลายตัว
ตัว มัท นี้ เขาเป็นคนที่จำเป็นที่จะต้องเข้มแข็ง เป็นแม่ที่ต้องดูแลลูกคนเดียว เขายึดมั่นอยู่ในความรักของเขา แต่ว่าก็จะมีตัวละครอีกตัวหนึ่งที่ เล่นโดยคุณ ปีเตอร์ นพชัย ก็เข้ามาใกล้ชิดที่สุดแต่ว่าจะใกล้ชิดแค่ไหนดำเนินต่อไปยังไง ก็อยู่ที่ใจของมัทว่าเขาจะใจแข็งมากพอหรือเปล่า หรือว่าเขาจะยึดมั่นกับความรักนี้ เขาเป็นเจ้าของไร่เป็นเจ้าของฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ ส่งลูกไปโรงเรียน ทำกับข้าวให้กิน คือเป็นคนที่ทำงานหนัก เมื่อลูกโตขึ้นจนถึงเวลาที่จะต้องเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนคงทราบดี ค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาวิทยาลัยมันสูงมากขนาดไหน เพราะฉะนั้นแล้วในขณะที่เขาเผชิญกับภาวะอะไรบางอย่าง ที่จะต้องทำให้เขาต้องทำหน้าที่หนักขึ้น แต่เขาก็จะมีความทรงจำในเรื่องราวของอดีตสามีเขาที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจของเขาคือทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ ก็พยายามที่จะต่อสู้ทุกอย่างเพื่อลูกชายที่เป็นตัวแทนของพ่อเขา
มาถึงตัวละครที่จะมีบทบาทสำคัญใน Timeline จดหมาย-ความทรงจำ ซึ่งได้ซูเปอร์สตาร์สุดฮอตอย่างเจมส์ จิรายุ
แทน ก็คือตัวแทนของคุณพ่อ แม่ก็จะยึดตัวละครตัวนี้เอาไว้เป็นหลัก ตัวละครตัวนี้ตั้งแต่เด็กมามีความสลับซับซ้อนมาก อยู่ใต้ร่มเงาของคุณพ่อตัวเองมาตลอดเวลา คือแม่ทำให้ตัวละครตัวนี้มีความแข็งแรงอยู่แค่ในบ้านตัวเองเท่านั้น แทบจะไม่ได้ออกไปไหนสักเท่าไหร่ ทำให้เขาไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้ออกไปเรียนรู้โลกภายนอก มากไปกว่าโซเชี่ยลต่างๆ ที่อยู่ในมือ ทำให้เขาพยายามจะต่อสู้ดิ้นรนที่สุดเพื่อที่พยายามจะไปค้นหาชีวิตของตัวเอง นักแสดงที่รับบทนี้ คือ เจมส์ จิรายุ ที่ผมเลือกเจมส์ ก็เพราะว่าเขาไม่ใช่คนกรุงเทพฯโดยกำเนิดแท้ๆ มันก็เหมือนกับตัวละครแทน ที่เป็นคนที่มาจากต่างจังหวัด แล้วก็มาเรียนรู้จักสังคมแบบกรุงเทพฯ ในไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย จากคาแร็กเตอร์เขาที่ไม่รู้อะไร ไม่เคยดื่มเหล้า ไม่เคยออกไปเที่ยว ไม่เคยจีบผู้หญิง แล้วเขาจะต้องเริ่มต้นทำทุกอย่างในชีวิต การที่จะทำให้คนดูเชื่อแบบนั้นได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เจมส์ เป็นคนน่ารักมาก มีความตั้งใจในการแสดง มีระเบียบมีวินัยในตัวเองดีมาก ส่วนใหญ่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายในต่างจังหวัดซะเป็นส่วนใหญ่ น้องเขาจะมีความสุขมาก ทุกอย่างมันจะถูกปิดที่พักที่เราอยู่ก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เราจะได้นั่งคุยกันทุกวัน ทำให้น้องเขามีสมาธิมาก ในการที่จะทำงานร่วมกัน ยิ่งล้อมรอบไปด้วยนักแสดงที่เก่งกาจทั้ง คุณป๊อก ปิยธิดา, เต้ย จรินทร์พร, คุณปีเตอร์ นพชัย ทุกๆคนที่ร่วมอยู่ในหนัง เหมือนกับเขาหล่อหลอมกันไปให้เป็นเนื้อเดียวกัน ช่วยกันเติมให้เป็นหนึ่งเดียว มันก็เลยทำให้การแสดงของทุกคนเต็มไปด้วยความกลมกลืน และความน่าเชื่อถือของตัวละคร
สำหรับการร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหม่อย่างเจมส์ จิรายุ เป็นอย่างไรบ้าง
ผมรู้สึกว่าเวลาที่เขาไม่แสดง เขาทำให้ผมเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา ผมพยายามบอกน้องว่าอย่าแสดงนะ คุณเป็นนักแสดงก็ตาม แต่ว่าถ้าคุณเข้าใจในตัวละคร มันจะสุดยอดที่สุด โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นแล้วทุกครั้งที่ เจมส์ เขาได้เข้าฉากกับ คุณป๊อก ที่ต้องถ่ายทอดในความเป็นแม่ลูกกัน แล้วเขามีสมาธิมากๆ ที่เราทำงานด้วยกัน เขาจะฟังแล้วก็กลมกลืนไปกับบทบาท การโต้ตอบต่างๆ การที่เขารู้สึกไปกับตัวละครแต่ละตัว คุณเต้ย ด้วย เขาเป็นคู่ขวัญกันในหนังเรื่องนี้ มันทำให้ทุกครั้งที่เจมส์มีสมาธิ ทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังดูหนังคนอื่นอยู่ที่ ผมกำลังถ่ายคนในบ้านนี้อยู่จริงๆ มันมีฉากอยู่ฉากหนึ่งที่มันสำคัญมากๆ แล้วเราต้องการถ่ายทอดความรู้สึกของเจมส์อย่างสูงมากๆ เป็นเซอร์ไพรส์ของเขาที่วันหนึ่งเขาต้องรับรู้เรื่องราวที่มันสำคัญมากในชีวิตของเขา คือในขณะที่หนังกำลังถ่ายอยู่ ผมเกือบจะสั่งคัทเพราะนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา นึกว่าเขาหลุดออกไป แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่ นั่นมันไม่ใช่การแสดง นั่นมันคือของจริงที่เขาพรั่งพรูมันออกมาให้เราได้เห็นว่า ถ้าเขาเปิดใจเต็มที่กับอะไรบางอย่างเขาสามารถสร้างเซอร์ไพร์ สร้างสิ่งที่เรานึกไม่ถึงออกมาได้อยู่ตลอดเวลา
มาถึง เต้ย จรินทร์พร นักแสดงรุ่นใหม่อีกคนที่มีฝีไม้ลายมือน่าจับตามอง พี่อุ๋ยตั้งใจให้เป็นตัวแทน ที่ถูกถ่ายทอดผ่านไทม์ไลน์ของหนุ่มสาวในยุคนี้อย่างไร
จูน เป็นตัวละครที่หายากใช้เวลานานมาก เขาจะต้องเป็นตัวแทนของคนรุ่นปัจจุบัน คือผมจะพลาดไม่ได้ สำหรับการคัดเลือก 2 ตัวละครนี้ต้องชัดเจน โดยเฉพาะ จูน เพราะว่าเขาเป็นคนที่ชัดเจนในชีวิต ทุกอย่างถูกวางแผนในตัวเขา เป็นคนที่มั่นใจสูงมาก มันก็เลยเป็นคาแร็กเตอร์ที่หายากสำหรับคนในปัจจุบัน ใครสักคนหนึ่งที่ชอบออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวได้ เข้าใจชีวิต ก็แคสอยู่นานมาก มันต้องมีความรู้สึกมีความทรงจำ ที่ได้สัมผัสกับความงามเหล่านั้นออกมาได้จริงๆ หรือความตื่นเต้นต่างๆ ถ้าเขาไม่เคยสัมผัส เขาจะถ่ายทอดมันออกมาไม่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าสังเกตุในดวงตามันจะบอกเราได้ แล้วสำคัญที่สุดคือผมรู้สึกว่าไม่อยากให้ตัวละคร แทน กับ จูน มันเข้ากันมากเกิน ตัวละคร 2 ตัวนี้มันควรจะเป็นตัวละครที่เติมใส่กันและกัน คือ ก็ตัดสินใจลองติดต่อน้องเขาไปปรากฏว่าน้องเขาได้อ่านบทเขาอยากเล่นบทนี้ เขารู้สึกว่ามันท้าทายที่จะทำให้ตัวนี้มีสีสัน ที่ชวนให้ติดตามไปตลอดทั้งเรื่อง มีความหลากหลายอยู่ในตัว นอกจากนั้นแล้วมีอยู่สิ่งหนึ่งในตัวละครนี้ที่ถูกวางไว้ตั้งแต่ตอนเขียนบท จะมีเส้นบางๆ ที่ห้ามล้ำเส้นบางๆ ตรงนั้นไปเด็ดขาด แต่ด้วยความพอดีของเต้ย ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย มันธรรมดามันก็แมนๆ ไม่ว่าจะเจออุปสรรค 108 มันยังทำให้เห็นถึงลักษณะของความเป็นผู้นำของเต้ย เห็นการตัดสินใจที่เฉียบขาด
เต้ยนี่เป็นคนที่อ่อนไหว ผมรู้สึกได้ตั้งแต่ได้คุยกับน้องแรกๆ จนกระทั่งเราทำงานด้วยกันมาสักพัก ไม่ว่าผมจะนั่งเล่าเรื่องเหมือนกับประสบการณ์ตัวละครตัวนี้ พอจบเรื่องเท่านั้นเองน้ำตาเต้ยก็ร่วงลงมาทันที เต้ยเป็นคนที่สัมผัสกับเรื่องแบบนี้ง่าย ก่อนที่เขาจะเข้าฉากที่แสดงอารมณ์น้องก็จะขอสมาธิแป๊บเดียว แล้วก็ผมก็จะไปทบทวนให้ฟังว่าฉากนี้อารมณ์มันจากนี้ ตัวละครตัวนี้จะต้องเข้มแข็งหลายครั้งที่จูนร้องไห้ออกมาแล้วพยายามกลบกลื่อนตัวเอง ยิ่งให้ความรู้สึกดับเบิ้ล ผมรู้สึกว่าฉากแบบนี้ วิธีการแสดงออกของเต้ยแบบนี้ในหนังที่เป็นตัวละครจูนมันได้มากกว่าที่มันจะแค่ร้องไห้
ใน Timeline จดหมาย-ความทรงจำ เคมีทางการแสดงของทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง
เต้ย กับ เจมส์ เขาเป็นลักษณะของการเติมเต็มซึ่งกันและกัน เบื่องต้นเราก็พยายามดูความเป็นไปได้ที่ 2 คนนี้จะมาเล่นด้วยกันในหนังโอเครึเปล่า ผมก็จับเขาถ่ายรูปกันในร้านอาหาร ก็เห็นความแตกต่างระหว่างความสูงชัดเจนมาก อีกอันที่เห็นเด่นชัดออกมาคือ คือเต้ยเขาจะเป็นคนที่มีบุคลิกคล่องแคล่ว ว่องไว แล้วก็จะชัดเจนมาก แล้วโดยส่วนตัวเจมส์เขาชอบผลงานของเต้ยมาโดยตลอด ต่างคนต่างชอบการทำงานของกัน ทำให้การทำงาน 2 คนมันง่ายมาก แล้วการที่เจมส์เป็นคนที่นิ่งๆ นิดหนึ่ง ผมว่ามันเลยทำให้เคมีของ 2 คนพอดีกัน การแสดงที่มันค่อยๆ ไปด้วยกันได้ เจมส์ก็จะเป็นบทบาทที่จะต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เต้ยเป็นบทบาทที่จะต้องเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา มันจะทำให้เหมือนอีกคนหนึ่งที่ขาดอะไรก็ตามอีกคนก็จะเติมใส่กัน ทำงานไปเรื่อยๆ แล้วมันมีความลงตัวกันหลายๆ อย่างในหลากรูปแบบ การที่มีเรื่องพ่อแง่แม่งอนบ้าง การที่เต้ยจะเป็นคนที่ เฮ้ย ฉันจะเอาอย่างนี้ เธอจะว่ายังไง แล้วเจมส์เขาก็อึกอักๆ แล้วเขาก็จะบอกว่าก็ได้ๆ มันเหมือนกับสิ่งที่ผมพยายามจะเขียน และเติมให้กันอยู่ในบทภาพยนตร์
เมื่อพูดถึงการร่วมงานกันระหว่างนักแสดงหญิงมากฝีมือย่างป๊อก ปิยธิดา กับรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง เจมส์ จิรายุที่จะต้องมาถ่ายทอดอารมณ์ความรักความผูกผันในฐานะแม่ลูก เป็นอย่างไรบ้าง
เจมส์เป็นนักแสดงใหม่ แต่สำหรับเรื่องนี้แล้วเป็นเรื่องที่ดี เพราะตัวละครนี้จริงๆ แล้วก็ไม่มีประสบการณ์ชีวิตอะไร ในขณะที่ตัวละครของป๊อกจริงๆ แล้วเป็นคนที่อยู่กรุงเทพฯมาก่อน แล้วก็ผันตัวตามสามีมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเป็นคนที่รู้จักโลก มีความผิดหวัง มีความเสียใจ มีความสมหวัง ผ่านโลกมาระดับหนึ่ง มันเลยทำให้ 2 คนนี้เขาพอดีกัน เจมส์ก็จะดูเป็นคนสงสัยทุกอย่าง ขณะที่ป๊อกก็จะเอาประสบการณ์ของชีวิตตัวเอง ที่เคยได้เรียนรู้พยายามจะสั่งสอน มันเลยทำให้เหมือนกับว่าเจมส์ก็ได้รับการถ่ายทอดความรู้สึกอย่างเต็มที่ ป๊อกก็สามารถจะถ่ายทอดพลังความรู้สึกของความเป็นแม่ ให้กับเจมส์ได้อย่างเต็มที่ ผมนั่งดูเองผมก็รู้สึกว่าเจมส์เขาก็เซอร์ไพรส์ เขาก็ทึ่งในพลังนั้นเหมือนกัน ทำให้เกิดความเชื่อขึ้นมากับตัวละคร ผมว่ามันเป็นจุดที่สมบูรณ์ของตัวละคร 2 ตัวนี้
การเข้าฉากร่วมกันของนักแสดงหญิง 2 รุ่นที่น่าจับตาระหว่างป๊อก ปิยธิดา และเต้ยจรินทร์พร ที่ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเซอร์ไพรส์ทางการแสดงที่เกิดขึ้นใน Timeline จดหมาย-ความทรงจำ
2 คนนี้เป็นตัวละครที่ไม่เจอกันบ่อย แต่ว่าการเจอทุกครั้งมีความหมาย เวลาไปถ่ายทำแล้วเวลาตัดต่ออกมา กลายเป็นว่าตัว จูน กลายเป็นคนที่ส่งต่อไม้จาก มัท เหมือนกับเขาเป็นเวอร์ชั่นสองของมัท มันมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กัน มีความเชื่อมั่นในตัวเองเรียกได้ว่ามัทเป็นแรงบันดาลใจของจูนเลยก็ว่าได้ รู้สึกว่าเจอกันเพื่อที่จะบอกว่า เขาได้ถ่ายทอดความรู้สึกบางอย่างถึงกันเท่านั้นเอง เพื่อทำให้ แทน ซึ่งรับบทโดยเจมส์ เขาหลุดออกจากแม่ได้เมื่อไหร่ เขารู้สึกว่าการที่อยู่คนเดียวในเมืองใหญ่ มันไม่ได้ว้าเหว่เกินไป แม้กระทั่งความรู้สึกของจูนเองนะครับ มีซีนหนึ่งที่ จูน เขาทำอะไรเปิ่นๆ แล้วทำให้โดนไล่ออกมา คนที่เห็นความรู้สึกของจูน ว่าเสียใจก็คือมัท 2 คนนี้เขาต่างคนต่างส่งผ่านความรู้สึกต่อกัน และกัน มันทำให้การดำเนินเรื่องนี้มีมิติที่มันซ่อนอยู่ข้างในมากกว่าที่เราคิด
ที่ตั้งใจให้ Timeline จดหมาย-ความทรงจำ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ความรู้สึกที่เล่าผ่านตัวละคร บรรยากาศเหมือกับว่าเป็นตัวแทนของผู้คนในยุคนี้ เป็นอย่างไร
มันก็เป็นการเปรียบเทียบ จริงๆ แล้ว Timeline จดหมาย-ความทรงจำ เป็นเรื่องราวของความรักในสองเจนเนอร์เรชั่น ถ่ายทอดความรักกันด้วยจดหมาย กับถ่ายทอดความรู้สึก ความรักในแบบของคนรุ่นใหม่ที่เราใช้โซเชี่ยลมีเดย เฟสบุ๊ค ไทม์ไลน์ อินสตาแกรม ถ่ายทอดความรู้สึก ว่าคนในแต่ละยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ทำให้ทุกอย่างมันสื่อสารกันด้วยความรวดเร็ว แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากเรื่องของจดหมาย เรายังมีการเล่าเรื่องราวผ่านความทรงจำต่างๆ เช่น ต้นบ๊วย ผัดฟักแม้ว การ์ตูน การถ่ายภาพจากความทรงจำต่างๆที่จะบันทึกเอาไว้ สำหรับในยุคนี้เราพยายามจะบอกความรู้สึกของเราตลอดเวลา หลายๆ คำพูดมันไม่ผ่านกระบวนการคิด ถ้าเป็นสมัยก่อนเราพูดถึงว่าเราอ่านจดหมายสักฉบับนี่เราอ่านได้เป็นสิบๆ รอบเลยนะเพื่อจะซาบซึ้งเพื่อจะเข้าใจ มันแทบจะเห็นหน้ากันในขณะที่เขียนจดหมายฉบับนั้น หน้าเขาเป็นยังไง เขาคิดอะไรอยู่ คนเราเดี๋ยวนี้ก็เลยไม่สามารถที่จะถ่ายทอดความรู้สึกกันอย่างสมบูรณ์แบบได้
ใน Timeline จดหมาย-ความทรงจำ ยังมีอีกหนึ่งตัวละครสำคัญโดยนักแสดงมากฝีมืออีกคนปีเตอร์ นพชัย
ผมว่ามันมีมากกว่าตัวละครที่เป็นปีเตอร์ ซึ่งรับบทเป็น อาวัฒน์ หลายๆ คนมามาขอดูแล อยากเป็นแฟนด้วย อะไรก็แล้วแต่มาช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่สำหรับอาวัฒน์มันเป็นความแตกต่าง คือทั้ง 2 คนนี้เหมือนกับว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เป็นลูกค้ารายหนึ่งที่มาช่วยในการซื้อของจากไร่ของมัท ผมว่าเขารู้สึกว่าเขามีความเห็นอกเห็นใจมากกว่าที่จะมามองในเรื่องชู้สาวอย่างเดียว ผมก็อธิบายตัวละครตัวนี้ให้ปีเตอร์ให้ได้เข้าใจตัวละครตัวนี้ ผมอธิบายประมาณนาทีเดียวเอง เขาสามารถที่จะเข้าใจตัวละครตัวนี้ได้ทั้งหมดเลย มันเป็นความรักที่มันไม่คาดหวังเป็นความรักที่ไม่ต้องการอะไร ที่มาลงเอยที่ ปีเตอร์ จริงๆ แล้วเขามีความเหมาะสมอีกหลายอย่าง เช่นผมได้ทำงานกับเขามาหลายครั้ง รับเชิญบ้าง เวลาที่เขาไม่ได้อยู่ในหนัง เขาจะเป็นคนเซอร์ๆ ผมยาวๆ แต่งตัวธรรมดา แต่ผมมองอีกแบบหนึ่ง ผมรู้สึกว่าวัฒน์เขามีความเท่ห์ในตัวของเขาอยู่โดยที่ไม่ใช่ความอบอุ่น ต้องรูปหล่อ อาวัฒน์คนนี้เท่ห์มากจริงๆ อยากให้เขามีเสน่ห์ แต่พอคุณเห็นเขาในหนังแล้ว คุณจะเห็นและสัมผัสได้เลยครับว่าผู้ชายคนนี้เซอร์แต่อบอุ่นมาก
เราจะได้เห็นแต่ละตัวละครกับจักรยานในหลากหลายโลเกชั่นสวยๆ ในภาพยนตร์ตั้งแต่บนเขา ริมทะเล จนกระทั่งย่านคลาสสิคในกรุงเทพ รวมไปถึงได้เหล่ากลุ่มก๊วนนักปั่นจักรยานตัวจริงมาร่วมแสดงรับเชิญด้วย
เราเชิญแก๊งจักรยานตัวจริงที่เป็นจักรยานวินเทจ จักรยานโบราณที่สวยงามจากเชียงใหม่ เพื่อจะขี่จักรยานอันนี้ร่วมกับ คุณปีเตอร์ นพชัย ตอนที่เราไปถ่ายทำกันนั้น เมืองสะเมิงเป็นช่วงหน้าฝน เป็นสิ่งที่อันตรายลำบาก แล้วเราไม่ได้ใช้สแตนอิน การขี่จักรยานขึ้นเขาของเจมส์ เนื่องจากเขาสูงชันมาก ประมาณ 45 องศา ประมาณ 1 กิโลเมตรการถ่ายทำนั้นค่อนข้างจะยากลำบากมาก ในแง่ของความลื่นของตัวถนนกับจักรยาน เสี่ยงอันตรายมาก คือความชันขนาดนั้นถ้าเบรคไม่อยู่ เอาไม่อยู่หรือคุณไม่รู้จักจักรยานดีพอคุณสามารถจะคว่ำลงได้ตลอดเวลา และขณะเดียวกันเราก็ดีไซน์ อุปกรณ์ขึ้นมาใหม่ด้วย ในการที่จะใช้ถ่ายจักรยานโดยเฉพาะเป็นอุปกรณ์ที่เรียกว่าเรามอเตอร์ สาม สี่ ห้า เพื่อจะให้กล้องสามารถจะจับภาพโดยที่มันนิ่งอยู่ได้ สนุกดีตรง คุณเปีย (ธีระวัฒน์ รุจินธรรม ผกก.ภาพ) ถืออุปกรณ์ตัวนี้ไว้ ขณะที่ผมก็เหมือนบังคับวิทยุเลยให้มันขึ้นลงตามลักษณะของภาพที่เราอยากได้ แล้วก็มีมอนิเตอร์ดูด้วยได้ มันก็เป็นอุปกรณ์ใหม่ที่เราไม่เคยใช้มาก่อน แต่ก็ทำให้การทำงานกับจักรยานมันง่ายขึ้น แต่ว่าก็ยังมีอุปสรรคในเรื่องของฝนอยู่ดี ยิ่งทางชันจะอันตรายมาก
ฉากจักรยานที่เราต้องไปถ่ายทำที่เกาะสีชังเราก็ถ่ายทำโดยใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า STABILIZER ในการถ่ายทำทั้งหมดแต่ว่าลักษณะถนนของเกาะสีชัง มันมีลักษณะขึ้นๆ ลงๆ เป็นเนิน ซึ่งก็อันตรายมาก ผมอยากได้มุมที่ลงจากเขา หรือขึ้นเขาเห็นทะเลอยู่เบื้องล่างเห็นบรรยากาศของเกาะสีชังทั้งเกาะ ให้นักแสดงขี่ด้วยตัวเองลงมา เราต้องฝึกฝนครับมีเทรนเนอร์ ถ้ามีปัญหาให้ทำอะไร แล้วก็สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการกั้นรถบนเกาะมันยากมาก เพราะเป็นเส้นทางที่เขาใช้สัญจรกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันอาจจะสร้างอันตรายกับนักแสดงได้ แต่ก็สิ่งที่เราได้มามันคุ้มค่ามากครับคือเราได้ภาพที่งดงามในการไปเที่ยวในการที่ทั้งสองคนไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก เป็นฉากที่มันสร้างความประทับใจ เราก็จะเห็นความงดงามของเกาะ ในมุมที่หลายคนอาจจะไม่เคยเห็น
สำหรับกรุงเทพฯการจราจรหนาแน่นเราก็ต้องเลือกวันอาทิตย์ในการถ่ายทำ เส้นทางก็จะเริ่มตั้งแต่ทางเส้นสนามหลวงไปทางภูเขาทองแล้วก็ยาวละเรื่อยไปทางหลังกระทรวง ไปถึงเยาวราจริงๆ มันยากมากในการที่จะไปขี่จักรยานแถวเยาวราชได้ แต่สิ่งที่ได้ออกมาทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบมากครับ
การทำงานของเจมส์ในฉากร้องไห้
เนื่องจากว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นโรแมนติคดราม่า มันจำเป็นอยู่ที่จะต้องมีฉากแสดงความรู้สึกเสียใจในเรื่องที่มากระทบจิตใจต่างๆ ผมก็ต้องวางไว้ว่าตรงนี้เสียใจแค่ไหน บางครั้งมันไม่จำเป็นต้องน้ำตาไหลก็ได้นะ หรือบางครั้งมันอาจจะต้องแสดงอาการอะไรมากกว่าปรกติ ผมก็พยายามจะอธิบายให้เขาฟังในความเสียใจแต่ละระดับ แต่การทำงานกับเจมส์ มีอยู่ฉากหนึ่ง ผมให้เขานอนร้องไห้ปรากฏว่าถ่ายอยู่นานครับ ผมได้ยินเสียงเขาสะอื้นอยู่นานมาก แล้วผมก็ไม่แน่ใจว่าผมควรจะคัทรึยังเพราะว่าผมไม่ทราบว่าการเสียใจเขาไปถึงจังหวะไหนแล้ว เพราะผมได้ยินแต่เสียง เพราะเจมส์เขาก็ก้มหน้าลงไปร้องไห้ สักพักผมสั่งคัทปรากฎว่าลุกขึ้นมาน้ำตานองอยู่เต็มพื้นเลยคือเขาร้องไปแล้วครับ ความกังวลของผมวันหนึ่งก็หมดไปเพราะว่าบางครั้งเจมส์ไม่ได้ร้องไห้ออกมาแต่ความรู้สึกของเขาที่ได้สัมผัสกับใครสักคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เขาอยู่ในฉากแล้วเขาสัมผัสตัวละครไม่ว่าใครก็ตาม ทุกอย่างมันก็พรั่งพรูออกมาทันที ทำ บางทีคนเราไม่ได้สัมผัสกับอะไร เราก็จะไม่รู้ว่า การเสียใจ ที่จะต้องได้รับอารมณ์ต่างๆ ที่รุนแรงเข้ามาถาโถมเข้ามาหาตัวเองจะต้องระบายออกไปขนาดไหนบางทีผมก็ใช้วิธีไปจับขาน้องไว้ข้างล่าง เหมือนกับเราเสียใจด้วย มันก็เป็นวิธีทั้งวิธีของผม แล้วก็ทั้งวิธีของน้องที่เราใช้กับหนังเรื่องนี้ด้วยกันครับ
Timeline จดหมาย-ความทรงจำ ก็ยังคงเป็นหนังโรแมนติคที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในเชิงดราม่า อย่างนี้เราจะได้เห็นการแสดงทางด้านอารมณ์ของตัวละครอย่างป๊อก ปิยธิดากับเจมส์ จิรายุในหนังบ้างมั้ย
ตัวละครมัทเขาเลี้ยงลูกมาด้วยความรัก เขาไม่เคยตีลูกเลย ตั้งแต่เล็กจนโตเขาจะสอนลูกด้วยเหตุและผลตลอดเวลา แต่เมื่อวันหนึ่งมาถึงวันที่ลูกแสดงความไม่เข้าใจแม่อย่างรุนแรง เมื่อวันหนึ่งต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วก็อยู่ห่างกัน เลยทำให้เกิดความไม่เข้าใจบางอย่างเกิดขึ้น ลูกเขาเก็บความรู้สึกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทำ คนที่เป็นแม่ที่อดทนอดกลั้นในการเลี้ยงลูกมาด้วยตัวคนเดียวมันเจ็บปวดมาก การทำโทษครั้งนี้ก็เลยต้องเกิดขึ้น ก็เป็นฉากที่ถ่ายทำกันนานมาก แล้วก็ที่นานไม่ใช่เพราะว่าใครเล่นไม่ดีแต่ผมอยากได้มุมที่ชัดเจน ในการที่จะถ่ายทอดความรู้สึกแบบนี้ออกมาให้ได้ ว่าต่างคนต่างเจ็บปวดที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นแม่ที่เฝ้าทะนุถนอมลูกมา เขาเองเป็นคนที่จะต้องทำให้ลูกเจ็บครั้งนี้ มันเป็นความเจ็บปวด2-3 เท่าสำหรับตัวเขา |