ข่าวที่ไม่สำคัญ My First Report โดยบัณฑิต ฤทธิ์ถกล
ขณะเครื่องบินฝนหลวงกำลังบินโปรยสารเคมีทำฝนหลวงอยู่บนท้องฟ้าไกล นักข่าวสาวนามวารี โดยสารรถบรรทุกน้ำของทหารในโครงการพระราชดำริที่กำลังจะเอาน้ำไปแจกชาวบ้านในหมู่บ้านห่างไกลแห่งหนึ่ง วารีโดยได้รับมอบหมายให้แวะไปเก็บภาพชาวบ้านที่ขาดน้ำกินน้ำใช้ส่งเข้าโรงพิมพ์ ก่อนจะเลยไปทำข่าวสัมภาษณ์ผู้ว่าราชการจังหวัดอันเป็นงานชิ้นแรกในชีวิตการเป็นนักข่าวของเธอ
ท่าทางวารีกังวลกลัวจะกลับออกไปไม่ทันนัดสัมภาษณ์ และโดยที่เธอก็ไม่คาด รถบรรทุกน้ำซึ่งมีทหารวัยกลางชื่อจ่าเปรื่องเป็นคนขับเกิดประสบอุบัติเหตุตกลงลงในหล่มข้างทาง หมดปัญญาที่จ่าเปรื่องจะบังคับรถให้แล่นต่อไปได้ จอดค้างเติ่งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่แห้งแล้งอ้างว้างและความร้อนใจของนักข่าวสาวหน้าใหม่อย่างวารี
ข่าวรถบรรทุกน้ำตกข้างทางรู้ไปถึงชาวบ้านในหมู่บ้านที่กำลังรอคอยน้ำแจกกันอยู่ และแม้ต่างจะอ่อนล้าหมักหมมเพราะขาดน้ำมานาน ทั้งหมดก็พร้อมอกพร้อมใจกันเดินฝ่าฝุ่นเป็นกิโลๆตรงมายังที่ๆรถบรรทุกน้ำตกข้างทางอยู่ มุ่งมั่นจะมาช่วยกันลากรถขึ้นจากหล่ม
อย่างไรก็ตาม แม้ชาวบ้านจะเข้าช่วยกันเป็นจำนวนมาก รถก็แทบไม่ขยับเขยื้อนเพราะน้ำหนักของน้ำที่บรรทุกมา จ่าเปรื่องบอกมีทางเดียวคือต้องสูบน้ำทิ้งจึงจะเอารถขึ้นมาได้ ชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไปตามๆกัน ก่อนจะติดสินใจบอกให้จ่าเปรื่องรอ แล้วพวกชาวบ้านก็รีบเดินจ้ำกลับหมู่บ้าน ต่างช่วยกันจัดหาภาชนะทุกชนิดประดามี ทั้งหอบหิ้วและใส่รถเข็นกันมา ทั้งผู้ใหญ่ลูกเด็กเล็กแดง ถ่ายเอาน้ำจากรถบรรทุกน้ำขนไปเทลงโอ่งขนาดยักษ์กลางหมู่บ้านเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ขณะบนท้องฟ้าเครื่องบินทำฝนหลวงบินย้อนกลับไป ชาวบ้านบอกเครื่องบินของในหลวงบินกลับไปกลับมาหลายวันแล้วยังไม่เหนื่อยเลย เราหิ้วน้ำแบกน้ำกลับไปกลับมากันแค่นี้เอง ไม่เหนื่อยหรอก
ขณะชาวบ้านขนถ่ายน้ำกันด้วยความเบิกบาน วารีกลับร้อนใจจนร้องไห้ที่ไม่สามารถไปตามนัดในการทำข่าวสำคัญครั้งแรกของเธอ ทว่าด้วยคำพูดของเด็กเล็กๆที่ขาดน้ำคนหนึ่งกลับทำให้เธอได้คิด และตัดสินใจเข้าช่วยชาวบ้านขนน้ำไปยังหมู่บ้าน
จนตะวันคล้อยต่ำน้ำถูกถ่ายจากรถบรรทุกจนหมด ชาวบ้านช่วยกันออกแรงเข็นรถขึ้นจากข้างทางจนเป็นผลสำเร็จ โดยไม่คาดฝนเริ่มตกลงมา ชาวบ้านบอกนี่แหละฝนหลวง ฝนของในหลวง ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยแค่ไหนพยายามแค่ไหนในที่สุดฝนของในหลวงก็จะสาดมาถึงพวกเราจนได้ เย็นฉ่ำชื่นใจกว่าฝนไหนๆทั้งหมด จ่าเปรื่องเอาพวกชาวบ้านทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ที่ต่างดีอกดีใจชื่นบานขึ้นรถบรรทุกน้ำแล่นฝ่าสายฝนไปส่งที่หมู่บ้าน วารีนั่งมาด้วยในรถ เปิดสมุดจดข่าวหน้าแรกของเธอขึ้น แล้วเริ่มจรดปากกาลงทำรายงานข่าวชิ้นแรกในชีวิตการเป็นนักข่าวของเธอด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งอิ่มเอิบเป็นอย่างยิ่ง .
เสียงสว่าง (Luminous Sound) โดย เป็นเอก รัตนเรือง
นาย ศิลา นามท้าว เป็นนักเปียโนตาบอด ที่รับจ้างเล่นเปียโนอยู่ตามร้านอาหารและผับทั่วไป ในภาพยนตร์สั้นๆ เรื่องนี้ เราจะ CELEBRATE อัจฉริยะทางดนตรีของพระเจ้าอยู่หัว และแรงบันดาลใจที่อัจฉริยะภาพนั้น มีให้กับประชาชน คนธรรมดาๆ โดยผ่านนายศิลา
เราจะได้เห็นเข้าเล่นเพลงพระราชนิพนธ์ ๓ เพลง เริ่มจากเพลง ยิ้มสู้ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ให้กับคนตาบอด ตามด้วยเพลงที่นายศิลาเลือกที่จะเล่นให้ทานอีก ๒ เพลง ทุกเพลงที่เขาเล่น เราจะดูกันเต็มๆ โดยไม่มีการตัดไปที่อื่น เมื่อเพลงแต่ละเพลงจบลงเราจะฟังเขาพูดถึงว่า เพราะอะไรเขาจึงเลือกที่จะเล่นเพลงนี้ แรงบัลดาลใจ วิธีการแต่งเพลงและเล่นดนตรีของเขา และดนตรีให้ความสุขกับชีวิตของเขาในแง่ใดบ้าง เป็นต้น
เป็นภาพยนตร์ที่นอกจากจะ CELEBRATE อัจฉริยภาพทางดนตรีของพระเจ้าอยู่หัว โดยปราศจากการสรรเสริญเยินยอ ตามขนบของภาพยนตร์เทิดพระเกียรติทั่วๆไปแล้ว ผู้สร้างแอบหวังว่าหากพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตร อาจจะเป็น ๑๐-๑๕ นาที ที่พระองค์จะทรงได้ลืมทุกอย่างและทรงมีความสุข กับสิ่งที่พระองค์รักมากที่สุดสิ่งหนึ่ง
วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง นรสิงหาวตาร (Norasinsha)
(ดัดแปลงจากปางที่ ๔ ในนารายณ์สิบปาง)
ยักษ์ตนหนึ่งชื่อ หิรัณยกศิปุ มีความโกรธแค้นพระนารายณ์ที่สังหารพี่ชายตน (ในปางที่ ๓) จึงบำเพ็ญตบะจนแก่กล้าเพื่อขอพรพระพรหม โดยขอให้ตนไม่ตายด้วยน้ำมือมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน ไม่ตายด้วยอาวุธใดๆ ไม่ตายกลางวัน ไม่ตายกลางคืน ไม่ตายในเรือน และไม่ตายนอกเรือน
ครั้นพระพรหมได้พรแล้ว หิรัณยกศิปุจึงกำเริบเสิบสานยกทัพไปรบกับเทวดาในวิมานชั้นฟ้า เทวดาก็แพ้พ่ายแม้แต่พระอินทร์ยังต้องหนีออกจากวัง หิรัณยกศิปุจึงตั้งตนเป็นใหญ่แทนพระอินทร์
พระอินทร์ไปเข้าเฝ้าพระนารายณ์ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่เหนือบังลังก์อนันตนาคราช ทูลขอให้ช่วย พระนารายณ์เห็นว่าพรที่หิรัณยกศิปุขอนั้นได้ขอดักไว้ทุกทางจนแก้ไขได้ยาก แต่เมื่อเห็นความเดือนร้อนของเหล่าเทพยดาจึงจำต้องหาทางช่วย
หิรัณยกศิปุเมื่อปราบพระอินทร์ได้แล้ว ก็กำเริบท้าทายพระนารายณ์รูปที่สลักอยู่บนเสา โดยเอาคธาตีเสา ทันใดนั้นมีนรสิงห์ตนหนึ่งแหวกเสาออกมาจับตัวหิรัณยกศิปุ ลากตัวไปที่ธรณีประตู ถามว่าเราเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หิรัณยกศิปุตอบว่าไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่สัตว์ พระนารายณ์ชูกรงเล็บกรดของนรสิงห์ให้ดูถามว่านี่เป็นอาวุธหรือไม่ หิรัณยกศิปุ ตอบว่ามิใช่อาวุธ พระนาราย์ถามว่าเวลานี้กลางวันหรือกลางคืน เวลานั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ หิรัณยกศิปุจึงตอบว่า ไม่ใช่กลางวัน และไม่ใช่กลางคืน พระนารายณ์ชี้ที่ธรณีประตูถามว่าที่นี่ในเรือนหรือนอกเรือน หิรัณยกศิปุตอบว่า ไม่ใช่ทั้งในเรือนแลนอกเรือน จากนั้นนรสิงห์จึงใช้กรงเล็บฉีกอกสังหารหิรัณยกศิปุจนตาย แล้วคืนร่างเป็นพะนารายณ์เหาะกลับไปบรรทมสินธุ์ตามเดิม
อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล นิมิต ( Meteorites)
ภาพยนตร์เริ่มด้วยแสงสีน้ำเงินเข้ม มันไม่ใช่แสงธรรมชาติ แต่เป็นการปรุงแต่งของสีจากคอมพิวเตอร์ มันทำให้ผมคิดถึงสีของน้ำทะเล สีของท้องฟ้าก่อนรุ่งสาง หรือสีของดวงจันทร์อันเลือนราง ปรากฏต่อมาคือ ภาพของแม่ที่ขอนแก่น ของหญิงวัย ๗๕ ปี ที่กำลังเดินอย่างเช่นที่เธอกำลังเดินอยู่ทุกเช้า เธอกำลังดูแลสวนกล้วยไม้ และเธอกำลังทำกิจกรรมอื่นๆ และมีภาพของหลานชายอายุ ๙ ขวบ กำลังทำการบ้าน และคุยกับผมไปด้วย มีภาพของหลานสาววัยสามขวบที่กำลังเดินในตอนเช้า เส้นเดียวกับทางที่คุณย่าของเธอเดิน
แต่ทว่า เราไม่ได้ยินเสียงจริงของภาพเหล่านี้เลย เสียงของภาพยนตร์ทั้งเรื่องจะเป็นเสียงที่อัดจากคลองส่งน้ำริมบ้านของผม สถานที่ที่ผมชอบไปในยามเช้า ซึ่งบางครั้งอาจจะได้ยินเสียงคนวิ่งออกกำลังกาย เสียงชาวบ้านเดินริมคลอง เสียงมอเตอร์ไซค์ รถรา เสียงของเมืองที่กำลังตื่นจากการหลับใหลของยามเช้าตรู่ ขณะเดียวกัน สีที่เคลือบฉาบภาพก็เปลี่ยนไปทีละน้อย (จากสีฟ้าสู้สีส้ม เมื่อภาพยนตร์สิ้นสุดลง)
ที่กรุงเทพ พี่สาวของผมตื่นแล้ว เธอกำลังนั่งเช็คอีเมล์หน้าคอมพิวเตอร์ใกล้หน้าต่าง สุนัขสีน้ำตาลตัวเล็กของเธอนอนอยู่ใกล้ๆ บนจอทีวี คุณสรยุทธ์กำลังอ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ราวกับหุ่นยนต์
ที่ขอนแก่น พี่ชายของผมกำลังเล่นเทนนิสกับเพื่อน ในขณะเดียวกันพี่สะใภ้ของผมกำลังเต้นแอโรบิคในสวนกับคนหมู่บ้าน ที่บ้าน แม่กำลังผัดผักที่ครัว ใกล้ๆ นั้นมีสุนัขพันธ์อัลเซเชี่ยนสองตัวกำลังนอนหลับริมเสาบ้านในห้องนอนของเธอ แม่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวโปรด ใกล้เตียงใหญ่ที่บัดนี้ไม่มีพ่อนอนอยู่แล้ว เธอกำลังนั่งดูละครทีวีตอนหัวค่ำ คนรักของผมกำลังนอนหลับใหลไม่ได้สติใต้ผ้าห่ม
ครอบครัวของเราได้เดินทางไปที่เขื่อนอุบลรัตน์ เราไปนั่งทานข้าวเย็นริมน้ำที่ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า พัทยาขอนแก่น เรานั่งอยู่ที่ศาลาไม้ไม่ห่างจากทะเลสาบนัก สมาชิกของครอบครัวเราบางคนลุกออกไปเดินเล่นดูน้ำที่ห่างออกไป บนท้องฟ้ายามเย็น อุกาบาตรกำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า เราบางคนกำลังทานข้าวและมองไปที่นั่น ภาพถูกเคลือบด้วยแสงสีส้มย่างสมบูรณ์
ศิวโรจน์ คงสกุล เสียงเงียบ ( Silencio)
เก่งเดินทางไปอัดเสียงที่ทะเล
เขาออกตามหาเสียงที่คิดว่ามันไม่มีอยู่จริงในโลก
มันคือ เสียงเงียบ
อารยะ บุญเชิด 9 ของวิเศษ (9 th Gift)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่งผู้คนในเมือต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ต่าง ๆ นานา ทั้งความยากจน ความเจ็บปวด และความแล้งแค้น จนเมื่อพระราชาได้ทราบเรื่องทั้งหมดพระราชาจึงมอบของวิเศษ 9 อย่างให้กับพลเมืองของตน...
อย่างที่ 1 คือ นกวิเศษ นกยักษ์ที่สามารถพ่นน้ำออกมาเป็นสายฝน ขจัดความแห้งแล้งของเมือได้
อย่างที่ 2 คือ พู่กันวิเศษ ซึ่งสามารถทำให้พลเมือง เก่งในงานศิลปะ ทำเป็นอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้
อย่างที่ 3 คือ กล่องวิเศษ ซึ่งสามารถรักษาพบเมือง ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ต่าง ๆ นานา ได้
อย่างที่ 4 คือ หนังสือวิเศษ ที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็สามารถอ่านและหาความรู้ให้กับตนเองได้
อย่างที่ 5 คือ ดาววิเศษ ซึ่งสามารถทำให้พลเมืองสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างสะดวกสบาย
อย่างที่ 6 คือ เมฆวิเศษ ซึ่งสามารถนำพาพลเมืองให้เดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกสบาย
อย่างที่ 7 คือ กังหันวิเศษ ที่สามารถผลิตพลังงานไว้ใช้ในเมือได้อย่างไม่มีวันหมด
อย่างที่ 8 คือ ไม้วิเศษ ที่สามารถบรรเลงเพลง กล่อมจิตใจของพลเมืองให้สดชื่นแจ่มใสตลอดเวลาและของวิเศษอย่างสุดท้ายก็คือ
ดึกแล้วนะพ่อ เลิกเล่านิทานแล้วให้ลูกเข้านอนได้แล้
เสียงเรียกของแม่ ปลุกให้สองพ่อลูกต้องตื่นขึ้นจากโลกแห่งจินตนาการ พ่อที่กำลังจะเล่านิทานให้ลูกฟัง ถึงตอนของวิเศษอย่างที่ 9 กลับถูกแม่ไล่ให้ไปนอนเสียก่อน เด็กน้อยอยากรู้ว่าของวิเศษอย่างที่ 9 คืออะไร แต่คงต้องรอให้ถึงคืนวันพรุ่งนี้ พ่อถึงจะเล่าให้ฟังต่อ...
นกวิเศษ...(ภาพโครงการฝนหลวง)
พู่กันวิเศษ...(ภาพโครงการฝนหลวง)
กล่องวิเศษ...(ภาพโครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน)
หนังสือวิเศษ...(ภาพโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน)
ดาววิเศษ...(ภาพพระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม)
เมฆวิเศษ...(ภาพโครงการทางคู่ขนานลอยฟ้า)
กังหันวิเศษ...(ภาพโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการผลิตไฟฟ้า)
ไม้วิเศษ...(ภาพพระราชอัจฉริยภาพด้านดนตรี)
เด็กน้อยเดินดูบอร์ดไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่บอร์ดสุดท้าย ใบหน้าเด็กน้อยแปลเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในใจของเด็กน้อยได้คำตอบแล้วว่าของวิเศษอย่างที่ 9 นั้นคืออะไร
เย็นวันนั้น เด็กน้อยกลับมาบ้าน ด้วยความตื่นเต้นดีใจ วิ่งตรงเข้าไปสวมกอดพ่อ พร้อมกับเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า... คุณพ่อขา หนูรู้แล้วค่ะว่าของวิเศษอย่างที่ 9 คืออะไร พ่อมองลูกน้อยด้วยสีหน้าที่แปลกใจก่อนจะอมยิ้ม เมื่อได้ฟังคำตอบ มันคือกระดาษวิเศษค่ะ แม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยังงงกับโลกแห่งจินตนาการของสองพ่อลูกที่ตนยังก้าวเข้าไปไม่ถึง หนูเห็นในกระดาษวิเศษ มีคาถาวิเศษเขียนอยู่ด้วย มันอ่านว่า...ความพอเพียง
และแล้วเมืองเล็กๆนั้น ก็ผ่านพ้นจากความทุกข์ยากลำบากทั้งหมดไปได้ เพราะของวิเศษทั้ง 9 อย่างและคาถาวิเศษที่เตือนใจ ให้ใช้ชีวิตแบบพอเพียง แล้วคนในเมืองทั้งหมดก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างมีความสุข
จบบริบูรณ์
ปรามธนี วงศ์พรหมเมศร์ และ ศุภรัฐ บุญมาแย้ม ทะเลของก้อย (The Sanctuary of Sea)
ก้อยเด็กสาวชั้นมัธยมปลายกำลังท้อแท้กับการอ่านหนังสือเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย ในขณะที่เธอนั่งปลดปล่อยอารมณ์ที่ห้องสมุด ก้อยได้เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งเข้า นั่นคือหนังสือพระมหาชนก แต่ตอนนี้สมองเธออ่อนหล้าจากการอ่านหนังสือสอบ เธอเบื่อที่จะอ่านตัวหนังสือ จึงขอดูแต่ภาพ ภายในมีภาพประกอบที่ประณีตสวยงาม ก้อยเปิดผ่านไปอย่างช้า ๆ ไล่สายตาไปตามโทนสีของภาพ แล้วสายตาเธอก็ไปหยุดอยู่ที่ภาพหนึ่ง ภาพที่พระมหาชนกว่ายในมหาสมุทรน้ำเจ็ดวันเจ็ดคืน ภาพดูสวย แต่เธอไม่เชื่อ และตั้งคำถามในใจอย่างขัดแย้ง มีด้วยหรือ ? ว่ายน้ำไปทั้งๆ ที่ไม่เห็นฝั่งมั่นใจอะไรขนาดนั้น? ก้อยปิดหนังสือ และเก็บเข้าชั้น กลับเข้าสู่ความเป็นจริงเผชิญหน้ากับความเครียดต่อ
ก้อยใจจดใจจ่อกับการอ่านหนังสือเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยมาหลายเดือน ที่นอกจากจะต้องสอบแข่งขันทั่วประเทศ (O-net A-net) แล้วยังต้องทำเกรดในชั้นเรียนให้ดีด้วย พ่อแม่ของก้อยคาดหวังและพร่ำบอกให้เธอตั้งใจอ่านหนังสือ จากความรักและความปรารถนาดีกลับกลายเป็นแรงกดดันสำหรับก้อย และเพื่อน ๆ ทั้งในและนอกโรงเรียนที่กดดันกันเองเพื่อพิชิตเป้าหมาย
นอกจากแรงกดดันที่ได้รับจากภายนอก ยังมีแรงกดดันจากภายใน คือจิตใจของตัวเธอเอง ด้วยความที่ผลการเรียนปานกลาง ไม่มีวิชาไหนโดดเด่น ทำให้เธอต้องพยายามอย่างหนักเพื่อแข่งขันกับคนอื่น ขอพ่อแม่มาอยู่หอพักเรียนกวดวิชา แต่เมื่อก้อยลองทำแบบทดสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ปรากฏว่าคะแนนเธอก็ไม่ดีขึ้น
ก้อยเครียด นอนไม่หลับ บางทีก็ปวดท้อง บางทีก็อยากอาเจียน ก้อยรู้ตัวว่าตัวเองเครียด แต่เธอก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร พูดกับพ่อแม่ ก็จะยิ่งเป็นห่วง ยิ่งเหมือนเธอช่วยตัวเองไม่ได้ เพื่อนๆคนอื่นเองก็เครียดไม่ต่างอะไรกับเธอยิ่งพูดยิ่งกดดันกันเอง ยิ่งคิดก้อยก็ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว ราวกับอยู่ในทะเล เวิ้งน้ำที่กว้างใหญ่
เลิกพยายามดีมั้ย ? อ่านไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ช่วงเวลาก่อนสอบช่างยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งที่เพื่อนๆบางคนบอกว่าเวลาอ่านหนังสือมีน้อยลงทุกที แต่ก้อยกับรู้สึกอยากให้มันรีบๆจบไป เธออยากหลุดพ้นจากสภาพนี้ ช่วงเวลาที่ก้อยจิตใจล่องลอยเธอเข้าไปนั่งเหม่อในห้องสมุดอีกครั้ง ณ ตำแหน่งเดิม เธอเหลือบไปเจอหนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง ก้อยหยิบมานั่งอ่าน
เธอเปิดไปที่หน้าที่เธออ่านค้างไว้ พระมหานกกำลังว่ายเข้ามหาสมุทร เธอย้อนกลับไปอ่านหน้าก่อนนี้ เพื่อจะจับความว่า เกิดอะไรก่อนหน้านี้
มันคือภาพความโกลาหล เรือกำลังจม พระมหาชนกทรงมีสติ ปีนขึ้นไปที่เสากระดงเรือ เพื่อหลบให้พ้นจากแรงดูดของน้ำในขณะที่ลูกเรือคนอื่นจมไปพร้อมกับตัวเรือ กลายเป็นอาหารสัตว์ทะเล
เมื่อพระมหาชนกรอดตายเรืออับปาง สิ่งที่อยู่ถัดมาเบื้องหน้าคือทะเลอันกว้างใหญ่ไม่เห็นฝั่ง ก้อยน้ำตาซึมรู้สึกเจ็บปวด กับสถานการณ์ที่ประเมินยากว่าจัดการยังไง เธอตัวเล็กในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เบื่อที่จะต้องว่ายไปในเวิ้งน้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ก้อยพลิกหน้าถัดไป พระมหาชนกยังคงว่ายไปอยู่อย่างไม่ท้อแท้ ก้อยร้องให้ เธอเองก็อยากจะเข้มแข็งแบบนี้บ้าง
แล้วนางมณีเมขลาก็ปรากฏขึ้น
มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นัก ท่านจะพยายามว่ายสักเท่าไรก็คงไม่ถึงฝั่งท่านคงจะตายเสียก่อนเป็นแน่ พระมหาชนกตรัสตอบว่า
คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะกำลังทำ ความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้ เพราะได้ทำหน้าที่เต็มกำลังแล้ว
ก้อยเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง ดูเหมือนทุกอย่างจะสว่างขึ้น
เธออาจจะไม่ใช่พระมหาชนก แต่สถานการณ์ของเธอก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น
ความเข้มแข็งได้เริ่มก่อตัวขึ้น ก้อยเลิกทำตัวเครียดเกินเหตุ และตั้งใจอ่านหนังสือเต็มความสามารถของเธอห้วงมหาสมุทรที่เวิ้งว้าง กลับมีแสงสว่างนำทางให้เธอก่อนอยู่แล้ว เธอดำเนินตามรอยนั้นไป
พุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง รักพอเพียง (The Most Beautiful Man in the World)
บทที่ 1 เดินตามพ่อ
พระอาทิตย์กำลังเริ่มฉายแสงอันอบอุ่น ลุงแกละตะเบ็งฝึกเป่าขลุ่ยแผดเสียงแข่งกับเสียงไอ้โต้งที่กำลังขัน ปลุกชาวบ้านที่กำลังนอนหลับ จนไอ้โต้งถึงกับต้องหยุดหันไปมองค้อนลุงแกละ นายสิงห์ชาวไร่วัยกลางคนลืมตาพร้อมแววตาที่มุ่งมั่น เต้ย ลูกชายวัย 8 ขวบของนายสิงห์ลืมตาด้วยแววตาเดียวกับพ่อ นายสิงห์ออกเดินพร้อมแบกกระบุงที่หลังและมีดพร้าต่อด้ามยาวด้วยไม่ไผ่คู่ใจบนบ่า เดินไปบนคันนาที่เปียกแฉะจากฝนที่ตกเมื่อคืน ตามมาห่างๆด้วยเต้ยเดินแบกกิ่งไม้เล็กๆก้มหน้าพยายามเดินตามรอยเท้าของพ่อซึ่งทำให้เต้ยต้องก้าวขายาวกว่าปกติ ลุงแกละหยุดเป่าขลุ่ยมองท่าเดินอันพิลึกของเต้ย สิงห์เริ่มตัดฝักข้าวโพดและโยนเก็บไว้ในกระบุงที่สะพายมา เต้ยเริ่มตัดดอกหญ้าที่ชายไร่เช่นกัน ทั้งคู่สบตากัน สิงห์หยุดตัดข้าวโพดยืนดูพฤติกรรมเลียนแบบของลูก เต้ยหยุดตัดหญ้าทำไม่รู้ไม่ชี้เมินหน้าไปอีกทาง
ในวงข้าวเช้าสิงห์ตักข้าวใส่ปากพร้อมมองหน้าลูก เต้ยตักข้าวเข้าปากแล้วมองหน้าพ่อกลับไป สิงห์เริ่มเคี้ยวข้าวหนึ่งครั้ง เต้ยทำตามอีก สิงห์เคี้ยวสองครั้งติด เต้ยก็ทำตามอีก สิงห์เคี้ยวข้าวติดต่อกันไม่หยุด เต้ยก็ยังทำตามเหมือนเคย ทั้งคู่แข่งกันเคี้ยวข้าวไม่ยอมกัน แม่นั่งมองดูพฤติกรรมของทั้งคู่
บทที่ 2 การเสียสละของพ่อ
รุ่งเช้ากับเสียงขลุ่ยของลุงแกละที่เริ่มไล่บันไดเสียง โด เร มี ฟา ซอล ไอ้โต้งขันรับเป็นช่วงๆ
ลานประชุมของหมู่บ้าน เป็นพิธีมอบโล่เกียรติยศของผู้เสียสละที่ดินเพื่อการขุดคลองชลประ- ทาน พ่อแต่งชุดหล่อที่สุด โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้มอบโล่เกียรติยศพร้อมกับเงาะกระป๋อง 3 กระป๋องผูกโบว์สีชมพู นายสิงห์รับรางวัลด้วยรอยยิ้มแหยๆ คนในหมุ่บ้านที่มาร่วมพิธีปรบมือเกลียว
ตัดมาที่บ้าน นายสิงห์นั่งมองดูโล่ที่บรรจงแขวนไว้ที่ข้างฝาด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับตอนรับรางวัล เต้ยกินเงาะกระป๋องจ้องมองพ่อด้วยสีหน้าภูมิใจ เช่นเดียวกับแม่ที่กินเงาะและจ้องมองพ่อ
ไร่ข้าวโพดของนายสิงห์หลังเก็บเกี่ยวเริ่มเหี่ยวเฉา วัว 3ตัวเล็มซากต้นข้าวโพด พ่อเดินแบกท่อนไม้เล็กๆ มาเต็มหลัง พ่อเริ่มเอาท่อนไม้มาปักเป็นทางแบ่งกลางไร่ นัยว่าคือเส้นที่คลองชลประทานกำลังตัดผ่านไร่ ลูกเฝ้ามองพ่ออยู่ห่างๆด้วยสีหน้าห่วงใย ลุงแกละก็มองพ่อพร้อมถอนหายใจ วัว3ตัวก็จ้องมองพ่อ ตะวันคล้อยต่ำลงด้วยบรรยากาศเศร้าสร้อย ถัดไปจากไร่ของสิงห์เป็นภาพเวิ้งน้ำใหญ่ที่แห้งขอด
หลายวันต่อมารถไถดินจอดสงบนิ่งท่ามกลางแดดจ้า ไร่ของนายสิงห์ด้านหนึ่งถูกรถไถปรับที่ให้เรียบตามแนวไม้ที่เขาปักไว้ ที่ดินที่เหลือยังทิ้งซากต้นข้าวโพดที่เหี่ยวเฉา วัว 3 ตัวก็ยังคงเล็มซากของต้นข้าวโพดแห้งอยู่ บนขอบที่ดินตรงไม้ปักเข้ามาในด้านเขตที่ที่เหลือ นายสิงห์กำลัวุ่นอยู่กับการก่อสร้าง สิ่งบางอย่างอยู่ ไกลออกไปเต้ยเฝ้ามองพ่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด
บทที่3 อาชีพใหม่ของพ่อ
พระอาทิตย์กำลังขึ้นพ้นขอบฟ้า เช้าวันใหม่ที่สดใสเริ่มต้น เสียงเหลาไม้ปลุกเต้ยจากการหลับ เขาลุกเดินงัวเงียเดินตามหาที่มาของเสียง เต้ยเดินเปิดประตูหน้าบ้าน นายสิงห์กำลังนั่งเหลาไม้ไผ่ ข้างตัวของเขามีไม้ไผ่กองใหญ่ เต้ยหยุดนิ่งมองดูพ่อ นายสิงห์หันกลับมามองเต้ย ทั้งคู่สบสายตานิ่งไปชั่วขณะ จนกระทั่งสิงห์ใช้สายตาชี้ให้เต้ยดูบางสิ่งที่ฝาบ้านอีกด้านหนึ่งข้างหลังเต้ย เต้ยหันกลับหลังไปมองเห็นคันเบ็ดนับสิบที่เรียงเป็นระเบียบพิงอยู่ที่ผนัง เขามองดูคันเบ็ดเหล่านั้นจนไปสะดุดตาที่คันเบ็ดอันสั้นที่สุดที่พ่อทำให้ เต้ยรีบหันหลังกลับมามองพ่อ ทั้งคู่ฉีกยิ้มให้กันจนแกล้มแทบปริ
สองพ่อลูกเดินคู่กันถือคันเบ็ดเลาะไปตามชายไร่ เดินผ่านสิ่งก่อสร้างที่นายสิงห์สร้างด้วยความภูมิใจ กระชังจับปลาตั้งรอการมาของคลองชลประทาน เสียงนายแกละเป่าขลุ่ยอัญเชิญทำนอง เพลงพระราชนิพนธ์สายฝนอันไพเราะ กังวานไปทั่วทุ่ง
พรศักดิ์ สุคงคารัตนกุล นิทานพระราชา (The Tale)
อาโพและภรรยา เดินทางกลับบ่านเกิดที่หมู้บ้านผาหมีเพื่อร่วมงานเทศกาลโล้ชิงช้า อันเป็นประเพณีของชาวเผ่าอาข่า ขณะเดียวกันอาโพก็อยากให้ที่บ้านช่วยเหลือเขาเลงทุนซื้อรถกะบะสำหรับใช้ในกิจการค้าส่งของที่ระลึกของใช้อาข่าที่กะเก็งจะทำกำไรได้มา ระหว่างทางกลับบ้าน อาโพเผอิญพบกับ จาแล พ่อเฒ่าเผ่าลาหู่ ที่อยู่อีกหมู่ล้านหนึ่ง
ไกลออกไปทางสันดอย พ่อเฒ่าเสนอขายรถกะบะคันเก่าให้กับอาโพ โดยขอแลกกับฝูงล่อ ที่พ่อของอาโพเบี้ยงอยู่ อาโพยังไม่แน่ใจว่าพ่อของเขาจะยอมขายล่อฝูงนั้นหรือไม่
สายวันนั้น อาโพเริ่มขยายความฝันการค้าของเข้า ให้พ่อแม่คล้อยตาม แต่พ่อแม่ไม่ได้มีเงินเก็บมากพอขนาดนั้น เงินที่สะสมอยงุ่ ก็ต้องใช้เพื่อการครองชีพ การักษาพยาบาล และการศึกษาของหลานอาโพที่เรียนอยู่ชันมัธยมแล้วอาโพเสนอว่าควรจะขายฝูงล่อที่พ่อเลี้ยงไว้ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์มากนัก และนานวัน มีแต่ราคาล่อจะตก ควร จะเอาไปขายเพื่อแลกกับรถของนายจาแลจะดีกว่า พ่ออาดพบอกลูกว่าการขายล่อมีความหมายกับพ่อมากกว่าที่จะนึกฝันได้ พ่อจึงเล่าให้อาโพฟังเรื่องราวในอดีตที่อยู่ในความทรงจำของชาวหมู่บ้านผาหมีมาโดยตลอด นั่นคือ เหตุการณ์ที่ในหลวงได้เสด็จมาทรงเยี่ยมสกนิกรที่หมู่บ้าผาหมี และปูของอาโพได้นำล่อมาเป็นพานะรับเสด็จ เรื่องนี้อยู่ในความทรงจำของตระกูลตลอดมา
พ่ออาโพยังย้อนถามอาโพว่าจำได้มั้ย ว่าครั้งวัยเด็ก อาโพนั้นเองที่ถามว่าล่อ เกิดมาจากอะไร และพ่อบอกว่า เป็นการผสมชองม้าและลา แต่ล่อก็ไม่เคยลืมชาติกำเนิดหรือคุณค่าของตัวมัน เพราะล่อแม้ไม่ใช่ม้า ก็ยังสามารถทำน้าที่ต่างของได้วันยังค่ำ อาโพจำบทสนทนานั้นได้ และยิ้มออกมา อาโพบอกว่าเข่ากับภรรยาอยากลงทุนก็เพื่อความมั่นคงในอนาคน พ่อพาอาโพไปที่สวนซึ่ง
ปลูกพันธุ์และสมุนไพรหลากหลาย และชี้ให้ดูความมั่นคงในความหมายของพ่อ พ่อเล่าว่าในหลวงได้มีกระสบระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และจุดประกายความคิดนี้ให้กับชาวบ้าน สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับสิ่งที่บรรพชนพร่ำสอน พ่อรับน้อมใส่เกล้า และเชื่อมั้นในวิถีทางที่เลือกแล้วนี้ อาโพฟังสิ่งที่พ่อเล่า ดดยไม่ได้โต้แย้งอะไร แต่การลงทุนซื้อรถ ก็ยังเป็นสิ่งที่อยู่ในใจอาโพตลอด
หลังจากอาโพแยกย้ายไปนอนแล้ว ใต้ท้องฟ้า ดวงดาวดารดาษ กลางลานบ้าน พ่อและแม่อาโพปรึกษากันพลางทั้งคู่เห็นคล้อยตามในที่สุดว่าเรื่องของเด็กรุ่นใหม่ ยากนักที่จะให้เดินตามบรรพชนได้ในทุกเรื่อง วิถีสมัยใหม่ต้องเป็นสิ่งที่เข้ามาเหลี่ยนแปลงวันยังค่ำ แต่การช่วยอาโพ คงจะไม่ใช่การเสียฝูงล่อไป เพราะพ่ออาโพจะถอนเงินหุ้นส่วนก้อนหนึ่งที่ลงทุนไปในกิจการโอมสเตย์ของหมู่บ้านเพื่อให้ฝันของลูกเป็นจริง พ่อกลับขึ้นมาบนบ้าน พ่อมองไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ยกมือขึ้นทูนเหนือหัว รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ไม่อาจพูดอะไรได้มากกว่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น กว่าพ่ออาโพจะกลับมาบ้านพร้อมเงินที่ถอนมาเพื่อให้ลูกชาย แต่สายเกินไป อาโพ ภรรยาและลูกชายคนเล็กได้ออกจากบ้านพร้อมฝูงล่อตั้งแต่เช้ามืดแล้ว เพื่อไปตามเส้นทางนัดหมายกับจาแล ผู้เฒ่า การเดินทางต้องใช้เวลากว่าที่คาดไว้มาก เพราะฝนที่ตกหนัก ทำให้เส้นทางเสียหาย จนรถรับจ้างขนล่อไม่สามารถไปต่อได้ ทั้งหมดเดินต่อกันไปด้วยเท้า ระหว่างทางเขาพบนักท่องเที่ยวเกี้ยวพาราสีเด็กสาวเผ่าอาข่า ด้วยความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับลานสาวกิดและมิดะ อาโพไม่ได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องราวที่พบ เพราะจะทำให้การเดินทางยิ่งช้าไปอีก แต่มันทำให้เขาเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องศักดิ์ศรีของคน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเดินทางต่อ อาโพพบกับกลุ่มชายวัยฉกรรจ์ ที่กำลังกุลีกุจอ แบบหามโลงไม้ขุดมาจากหุบเขาเบื้องล่าง ไต่ขึ้นมาตามเส้นทางสูงขันที่เปียกแฉะ ท่อนไม้ขุดนั้นหนักมาก อาโพหยุดการเดินทางและอาสาเอาฝูงล่อช่วยลากโลงไม้ขุด ขึ้นมาตามทางชัน ทั้งหมดเสียเวลาไปมาก กลุ่มชายฉกรรจ์ชาวอาข่าขอบคุณในมิตรภาพ อาโพอธิบายไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมเขาจึงหยุดช่วยเหลือ บาททีนี่อาจจะเป็นวิถีที่เป็นตัวเขาจริงๆ ก็เป็นได้ คือความมีมิตรภาพ การช่วยเหลือ ที่ไม่เคยเลือนหายจากคนในเผ่าพันธุ์เดียวกัน
บนเส้นทางขอบชายแทน ไทยพม่า อาโพ ภรรยาและลูก เดินทางไม่ถึงที่หมาย ก็พลบค่ำเสียแล้ว ทั้งหมดหยุดพักค้างแรม ที่บ้านพักชาวลาหู่ผู้หนึ่งใต้ดวงดาวที่หนาแน่นคืนนั้น ลูกชายคนเล็กถามอาโพ ว่าล่อเกิดมาจากอะไร อาโพก็อธิบายตามที่พ่อเขาเคยอธิบาย อาโพยังเล่าเรื่องที่ในหลวงเคยเสด็จมาที่หมู่บ้าน และเคยทรงเสด็จพระราชดำเนินบนหลังล่อ ล่อตัวนั้นเป็นบรรพบุรุษของล่อฝูงนี้ ขณะที่กำลังอธิบายให้ลูกชายฟัง ย้อนรอยคำพูดของพ่อทุกถ้อยคำ พลันอาโพตัวสั่นด้วยความหนาวเหน็บในใจ เขาเข้าใจขึ้นมาทันใดว่า ทำไมพ่อของเขาจึงรักฝูงล่อทั้งหมดนี้ พ่อของเขารักเขามากเพียงใด ที่ยอมให้เขาขายล่อฝูงนี้ อาโพได้แต่น้ำตาไหลออกมา
เช้าวันรุ่งขึ้น อาโพไม่ได้หยุดเดินทางไปหา จาแล ผู้เฒ่าชาวลาหู่ แต่เขาไปเพื่อบอกว่า เขาขอโทษที่เปลี่ยนใจไม่ขายล่อเพื่อแลกรถกระบะคันเก่านั่นแล้ว และเขาต้องแปลกใจที่จาแลผู้เฒ่า ก็เปลี่ยนใจไม่ขายเช่นเดียวกัน เพราะหลานชายของแกยังต้องการใช้รถ ทั้งสองได้แต่หัวเราะออกมา หลานชายของพ่อเฒ่าอาสาเอาล่อขึ้นรถกลับมาส่งที่หมู่บ้านผาหมี อาโพ ภรรยาและลูกกลับมาที่หมู่บ้าน โดยล่อกลับมาครบถ้วนทุกตัว พ่อของเขาถามว่าไม่ได้ขายล่อแล้วหรือ อาโพบอกว่าเข่าก็เหมือนล่อตัวหนึ่งหากเขาไม่รู้ว่าเขาควรต้องทำหน้าที่อะไร ก็ต้องอายล่อแล้วกระมัง
ตลอดทั้งวันนั้น อาโพช่วยกันกับชาวบ้านทำชิงช้าใหญ่ของหมู่บ้านโยมีคนมาร่วมกันคึกคัก รวมทั้งชายฉกรรจ์กลุ่มที่เขาช่วยเหลื่อเมื่อวานด้วย ตลอดวันนั้นเป็นบรรยากาศแห่งความสุขและความเกื้อกูลอย่างแท้จริง พ่อของอาโพนำหุ้นคืนโครงการโฮมสเตย์ และขอให้ลูกชายช่วยทำงานในโครงการของหมู่บ้านนี้
เสร็จงานแห่งความปลื้มปิตินี้แล้ว พ่อลูกและครอบครัวของอาโพทุกคน กราบไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ขณะในหลวงเสด็จเยือนผาหมี ใบหน้าทุกคนเปี่ยมล้นด้วยรอยยิ้ม ที่ไม่เคยลืมเลือนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ นิทานพระราชา The Tale
ทุกบ้านมีภาพในหลวงอยู่ ภาพถ่ายภาพหนึ่งขณะทรงเยี่ยม อแม่สาย สามสิบกว่าปีมาแล้ว ผมคิดว่าท่านต้องลำบากมาก เพราะต้องขึ้นเขา และชาวเขาถือว่าเป็นชนชั้นสอง ผมก็เลยจินตนาการ ของครอบครัวหนึ่ง
|