คุณเชื่อในโลกหน้ามั้ย?
หนทางเดียวแห่งการได้มาซึ่งความสามารถและอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์
นั่นคือ การยอมปลิดชีวิตตนเองเสีย แล้ววิถีแห่งการเป็น โอปปาติก จะเริ่มต้นขึ้น
มีคำเล่าขานถึง พลังพิเศษ แห่งตัวตนโอปปาติก ที่มีแตกต่างกันไป
แต่ทุกครั้งที่มันเลือกใช้ กลับต้องแลกด้วย คำสาป อันแสนเจ็บปวดอยู่เสมอ
ที่ผ่านมา เหล่ามนุษย์อาจไม่เคยล่วงรู้ถึงชีวิตใน โลกซ้อนทับ นี้
จนกระทั่ง เมื่อมีมนุษย์หาญกล้า คิดล่า เหล่าโอปปาติก
เพื่อ ท้าทาย ขอบเขตแห่งอำนาจนานนับศตวรรษของพวกมัน
เมื่อนั้น... สงครามระหว่าง มาร 5 ตน กับ 1 คนธรรมดา ...จึงอุบัติขึ้น
ถึงเวลาที่ มารจะล่าคน และ คนจะล่ามาร
กำหนดฉาย 23 ตุลาคม 2550
แนวภาพยนตร์ แอ็คชั่น แฟนตาซี
บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทดำเนินงานสร้าง บาแรมยู
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมการสร้าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว, สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์
ดำเนินงานสร้าง ศิตา วอสเบียน
กำกับภาพยนตร์ ธนกร พงษ์สุวรรณ
เรื่อง ธนกร พงษ์สุวรรณ
บทภาพยนตร์ ธนกร พงษ์สุวรรณ, ยุคนธร แก้วทอง
กำกับภาพ เดชา ศรีมันตะ, ธีระวัฒน์ รุจินธรรม
กำกับการต่อสู้ กฤษณพงค์ ราชธา, ธนา ศรีสุข
ออกแบบงานสร้าง พิสุทธิ์ ปรีวัฒนกิจ
ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอกศิษฏ์ มีประเสริฐสกุล, น้ำผึ้ง โมจนกุล
เมคอัพเอฟเฟ็คต์ วิทยา ดีรัตน์ตระกูล
ลำดับภาพ ธนกร พงษ์สุวรรณ, สิรภพ ตุงคะเศรณี, ลี ชาตะเมธีกุล, แม็กซ์ แอนโทนี่ เทอร์ช
ฟิล์มแล็บส์ กันตนาฟิล์มแล็บ
บันทึกเสียง กันตนา แอนิเมชั่น
ทีมนักแสดง สมชาย เข็มกลัด, ชาคริต แย้มนาม, ลีโอ พุฒ, อธิป นานา, เร แม็คโดแนลด์, เข็มอัปสร สิริสุขะ, นิรุตติ์ ศิริจรรยา และ
พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
เรื่องเล่า...เหล่าโอปปาติก
โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)-เกิดอมตะ เล่าถึงเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งบนโลก ที่ใช้ชีวิตปะปนอยู่กับผู้คนทั่วไป แต่ละคนที่เป็นโอปปาติกนั้น จะได้รับพลังพิเศษบางอย่างที่ทำให้มีความสามารถเก่งกาจเหนือคนอื่น ๆ หากแต่พลังพิเศษนั้นก็มีขีดจำกัดในการใช้ และจะค่อย ๆ หมดไป เมื่อสิ้นอายุขัยในที่สุด
ศดก (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) โอปปาติกตนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่กับความเชื่อของตนเอง ว่าจะสามารถเอาชนะความตายได้ด้วยการเป็นอมตะ แต่อุปสรรคอย่างเดียวที่คอยขัดขวางไม่ให้ความต้องการของศดกเป็นจริงก็คือ จิรัสย์ (สมชาย เข็มกลัด) โอปปาติกอีกตนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างลึกลับ และดูอันตรายเกินไปที่ศดกจะวางใจให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ ทางเดียวที่ศดกจะสามารถเป็นอมตะได้ก็คือ ต้องกำจัดจิรัสย์ออกไป
ศดกจึงวางแผนการโดยให้ลูกน้องสุดจงรักภักดีนาม ธุวชิต (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ออกตามหา เตชิต (ลีโอ พุฒ) นักสืบเอกชนคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีพลังพิเศษของโอปปาติกแอบซ่อนอยู่
ศดกได้ล่อหลอกให้เตชิตกลายเป็นโอปปาติกด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ว่าจ้างให้เตชิตใช้พลังพิเศษของเขาออกตามหาโอปปาติกตนอื่น ๆ เพื่อร่วมมือกันหาทางกำจัดตัวอันตรายอย่างจิรัสย์ที่ตอนนี้กำลังตามล่าหญิงสาวลึกลับนางหนึ่งอยู่
เตชิตตกลงช่วยเหลือศดก และได้รู้จักกับ ปราณ (เข็มอัปสร สิริสุขะ) สาวลึกลับคนที่จิรัสย์ต้องการจะฆ่า และหลงรักปราณทันทีที่ได้เจอหน้ากันครั้งแรก ซึ่งตัวปราณนี่เองที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โอปปาติกตนอื่น ๆ มารวมกันได้
ไปศล (ชาคริต แย้มนาม) โอปปาติกนักฆ่าที่ไม่เคยผูกพันยึดติดกับใคร นอกจากอดีตของตัวเอง และด้วยความรู้สึกผูกพันบางอย่างของไปศลที่มีต่อปราณ ทำให้เขาแอบตามดูแลปราณอยู่ห่าง ๆ
อรุษ (เร แม็คโดแนลด์) กับ รามิล (อธิป นานา) สองโอปปาติกเพื่อนแท้ชนิดตายแทนกันได้ เมื่อใดที่อยู่รวมกันจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าแยกกันจะอ่อนแอ เพราะต่างคนต่างก็มีพลังที่จะช่วยอุดจุดอ่อนของกันและกันได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เข้าถึงตัวได้ยาก เพราะไม่เคยไว้ใจใคร จนกระทั่งทั้งคู่ได้มาสานสัมพันธ์กับปราณ
แม้ดูเหมือนว่า เหล่าโอปปาติกทั้งหมดจะถูกดึงดูดมารวมกันโดยมีปราณเป็นจุดเชื่อมโยง แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายไปเสียทั้งหมด เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีแง่มุมที่ไม่ลงรอยกันอยู่ ประกอบกับเรื่องราวที่ดูคลุมเครือระหว่างศดกกับจิรัสย์ นั่นได้นำไปสู่การปะทะกันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และนำมาซึ่งความสูญเสีย พร้อม ๆ กับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของชีวิต
สุดท้ายแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่ถูกหล่อหลอมขึ้นเป็นเงื่อนงำจะถูกคลี่คลายหรือไม่
และจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าความจริงที่ทุกคนอยากรู้ กลับกลายเป็นความเจ็บปวด
พวกเขา...เหล่า โอปปาติก จะรับมือกับความจริงนั้น...อย่างไร
จุดกำเนิด...โอปปาติก
แรงบันดาลใจในการทำเรื่อง โอปปาติก คือตอนที่ผมทำเรื่อง FAKE โกหกทั้งเพ ผมมีไอเดียและสคริปต์หลายเรื่อง ผมเขียนไว้อยู่เรื่องหนึ่งซึ่งก็คือเรื่อง อวตาร ช่วงนั้นผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาค่อนข้างเยอะ แต่หนังเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด โลกคู่ขนานของคน และสิ่งที่ไร้วิญญาณต่าง ๆ ซึ่งผมก็จินตนาการไปถึงสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงพุทธศาสนาที่เป็นเรื่องของคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง เป็นเรื่องของภูติผีปีศาจเทวดา สัมภเวสีอะไรอย่างนี้
ทีนี้พอมาเจอคำ ๆ หนึ่งอย่าง โอปปาติก ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งตามหลักพุทธศาสนา ความหมายของมันก็คือ ผุดและเกิดขึ้นมาทันที โตเต็มวัยขึ้นมาทันที อันนี้ก็จะรวมเรียกพวกภูติผีปีศาจ เทวดา เทพยดา สัมภเวสี อสูรกายต่าง ๆ ตามความเชื่อของคนไทยแล้วแต่จะเรียก ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ บวกกับโดยส่วนตัวผมเองชอบทำหนังที่เน้นในเรื่องของคาแร็คเตอร์อยู่แล้ว และก็อยากจะลองทำหนังแอ็คชั่นในแบบที่ผมอยากทำบ้าง ผสมกับการที่ถ้าหากจะมีหนังไทยซักเรื่องที่รวบรวมนักแสดงชั้นนำซึ่งมีคาแร็คเตอร์ที่แปลกใหม่ให้มาอยู่ในเรื่องเดียวกันก็คงจะน่าสนใจดี อันนี้เป็นที่มานะครับ
หลังจากนั้นผมจึงคิดพล็อตขึ้นมาสนับสนุนไอเดียนี้อีกทีหนึ่ง ก็เลยออกมาเป็นเรื่องราวของเหล่าโอปปาติก ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถพิเศษ นอกจากที่พวกเขาต้องต่อสู้กันเองแล้ว พวกเขายังต้องต่อสู้กับตัวเองอีกด้วย ธนกร พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับหนุ่มรุ่นใหม่ที่เคยฝากผลงานสร้างชื่อมาแล้วจาก FAKE โกหกทั้งเพ และ เอ็กซ์แมน แฟนพันธุ์เอ็กซ์ เกริ่นถึงที่มาของภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ของเขา
โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) ตามความหมายทางพุทธศาสนา คือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาแล้วโตเต็มที่ในทันทีทันใด โดยมีอำนาจของพลังกรรมเป็นตัวสนับสนุน โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการวิวัฒนาการเหมือนสัตว์ทั่วไป โอปปาติกจะเกิดหรือตายโดยไม่ทิ้งซากหรือเนื้อไว้ให้เห็น
ในขณะที่ โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)-เกิดอมตะ ในรูปแบบภาพยนตร์แอ็คชั่นแฟนตาซีเรื่องนี้หมายถึง เหล่าสิ่งมีชีวิตผู้มีพลังอำนาจพิเศษเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นทันทีที่ประตูแห่งความตายถูกเปิดขึ้น เหล่ามนุษย์ไม่เคยล่วงรู้ถึงความซ้อนทับที่เกิดขึ้นนี้
คำเล่าขานบอกกล่าวถึงเหล่าโอปปาติกว่า พวกมันแต่ละตนมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวแตกต่างกันไป แต่ทุกครั้งที่มันเลือกใช้พลังพิเศษ ก็จะต้องแลกมาด้วยบาดแผลแห่งความทรมานที่แสนเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่ามันคือคำสาปที่ถูกลิขิตขึ้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีมนุษย์หาญกล้าคิดท้าทายขอบเขตแห่งอำนาจของโอปปาติก ที่ได้รับการถ่ายทอดมานานนับศตวรรษ ไม่มีใครล่วงรู้ถึงจุดจบแห่งมหาสงครามการนองเลือดล้างเผ่าพันธุ์ว่าจะจบลงที่ใด
แต่ไม่ว่าจะเป็นโลกนี้หรือโลกหน้า นี่คือ อุบัติแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่วินาทีแรกที่มนุษย์ตัดสินใจล่าโอปปาติก
สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับ บาแรมยู ภูมิใจเสนอ โอปปาติก(โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)-เกิดอมตะ อภิมหาภาพยนตร์แอ็คชั่นแฟนตาซีฟอร์มยักษ์ที่ไม่ควรพลาด กับครั้งแรกในการรวมตัวกันบนแผ่นฟิล์มของเหล่านักแสดงระดับแนวหน้าของเมืองไทยอย่าง สมชาย เข็มกลัด, ชาคริต แย้มนาม, ลีโอ พุฒ, อธิป นานา, เร แม็คโดแนลด์, พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, นิรุตติ์ ศิริจรรยา พร้อมการกลับมาขึ้นจอใหญ่อีกครั้งของนักแสดงสาว เชอร์รี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ ในบทของหญิงสาวลึกลับซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ และตกอยู่ท่ามกลางวงจรแห่งการตามล่าล้างแค้นที่ไม่รู้จักจบสิ้นของเหล่าโอปปาติก
อกจากจะนั่งแท่นผู้กำกับภาพยนตร์เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ธนกร พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับหนุ่มเลือดใหม่ ยังเป็นคนต้นคิดเรื่องและร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหลักด้วย
ในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ใช้เวลานานพอสมควรครับ เพราะต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสตร์หลายเล่ม เป็นการรีเสิร์ชข้อมูลในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ช่วงนั้นผมอ่านหนังสือหลายเล่มมาก และก็คิดว่าจะทำหนังเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างสองโลก โลกปัจจุบันกับโลกหลังความตาย ผมก็คิดถึงคุณสมบัติพิเศษของพวกเขา คือ พวกเขาเป็นโอปปาติก บางคนก็เข้าใจว่าเป็นผี แต่ตามตำราที่อ่านมา มันแปลได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่อุบัติขึ้นมาได้เอง ผมก็เลยเริ่มโยงเข้ากับเรื่องว่า ถ้าคนเราฆ่าตัวตาย แล้วอาจจะกลายเป็นโอปปาติก ทีนี้พอได้เป็นแล้ว อาจจะมีอำนาจหรือพลังพิเศษ แต่มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ คุณได้ความพิเศษแต่อาจจะต้องแลกกับคำสาป หรือความวิบัติบางอย่าง เหมือนกับว่ามีพลังพิเศษ แต่เมื่อใช้ไปแล้วก็ต้องแลกกับคำสาปที่ตามมาเป็นการแลกเปลี่ยน อันนี้ก็คือที่มาของการนำตัวละครไปสู่สถานการณ์แอ็คชั่นและก็จุดขัดแย้งของตัวละครแต่ละตัวด้วย อะไรประมาณนี้ครับ
ผมไม่อยากจะไปเน้นว่า หนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามากแค่ไหน เดี๋ยวคนจะเข้าใจว่าเป็นหนังดูยาก ก็เอาเป็นว่า หนังเรื่องนี้ผมได้ไอเดียจากพุทธศาสนามาเป็นจุดกำเนิด แต่ก็ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งหมดนะครับ จากนั้นผมก็มาต่อเติมไอเดียจากคำว่า โอปปาติก ให้ผสมผสานกันได้กับความเป็นแอ็คชั่น-แฟนตาซี ดังนั้นถ้าจะถามเรื่องสัดส่วนความเป็นหนังเรื่องนี้ บอกได้เลยว่าในส่วนของแอ็คชั่นแฟนตาซีมันจะมีมากกว่าเนื้อหาทางด้านศาสนาพุทธ และที่สำคัญ ผมอยากขับเน้นคาแร็คเตอร์ของตัวละครเป็นหลักด้วยครับ ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า พวกโอปปาติกในเรื่องนี้จะมีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกในด้านต่าง ๆ ที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหาไม่ต่างจากมนุษย์อย่างเรา ๆ เลยครับ
เมื่อได้บทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว อีกขั้นตอนหนึ่งที่ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ การคัดเลือกนักแสดง ที่ผู้กำกับหนุ่มมีความตั้งใจที่จะรวบรวมนักแสดงมากฝีมือแถวหน้าของเมืองไทยไว้บนแผ่นฟิล์มเรื่องเดียวกัน เพื่อให้คุณภาพทางการแสดงอยู่ในระดับที่น่าจดจำเรื่องหนึ่ง
จริง ๆ แล้วในบ้านเรามีนักแสดงที่มีความสามารถ มีฝีไม้ลายมือ และความน่าสนใจมาก ๆ ซึ่งการคัดเลือกนักแสดงชั้นนำทั้ง 8 คนสำหรับหนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องยากพอสมควรนะครับ ซึ่งการคัดเลือกแต่ละคน ผมก็ดูจากความเหมาะสมของคาแร็คเตอร์ที่เข้ากับบทเป็นหลัก และส่วนหนึ่งก็เป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้วที่อยากจะรวบรวมนักแสดงทั้งรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการแสดง หลังจากที่ผมพยายามลอง
แคสติ้งหลาย ๆ คนในหัวดูให้เข้ากับหนังเรื่องนี้ รวมถึงลองคัดเลือกกับทีมงานอยู่นาน สุดท้ายด้วยความเหมาะสมหลาย ๆ อย่างก็มาลงตัวที่นักแสดงนำทั้ง 8 คนนี้ครับ ซึ่งทั้ง เต๋า (สมชาย เข็มกลัด), คริต (ชาคริต แย้มนาม), พุฒ (ลีโอ พุฒ), บอล (อธิป นานา) ซึ่งยังไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน, เร (เร แม็คโดแนลด์), เชอรี่ (เข็มอัปสร สิริสุขะ), พี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) และ อาหนิง (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) ทุกคนในเรื่องนี้ก็จะพลิกบทบาทในคาแร็คเตอร์ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน จะเป็นอะไรที่แปลกแตกต่างออกไปจากเรื่องอื่น ๆ ครับ
การร่วมงานกับนักแสดงชุดนี้ก็ราบรื่นดีครับ เพราะทุกคนให้ใจและทุ่มเทให้กับการแสดงเรื่องนี้มาก ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วทุกคนก็เป็นนักแสดงที่มีฝีมือมากอยู่แล้ว อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ก็เลยทำให้สามารถเข้าใจและตีความลงไปในคาแร็คเตอร์แต่ละตัวได้อย่างเข้าถึงบทบาทอย่างครบถ้วน ผมก็ต้องขอบคุณนักแสดงทุกคนที่ให้ใจและเข้าใจจุดประสงค์ในการทำงานของผม แล้วก็ต้องขอบคุณอีกหลาย ๆ อย่างในกระบวนการทำงานที่ทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงออกมาได้
นอกจากความแข็งแรงด้านวัตถุดิบขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น เส้นเรื่อง, บทภาพยนตร์ และ กลุ่มนักแสดง ที่มีคุณภาพอยู่ในระดับมาตรฐานสากลแล้ว การฉีกรูปแบบภาพยนตร์แอ็คชั่น-แฟนตาซีของไทยที่หวังสร้างปรากฏการณ์ใหม่แห่งปี 25 50 เรื่อง โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)-เกิดอมตะ นี้ ยังมาพร้อมการเอาใจใส่ในเรื่อง โลเกชั่นการถ่ายทำ ที่ผู้กำกับและทีมงานบรรจงสรรหาสถานที่ถ่ายทำที่ดูแปลกตาแตกต่างในแง่มุมที่ไม่เคยเห็นในภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ เพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการให้ทุก ๆ โลเกชั่นในเรื่องนี้เป็นเสมือนหนึ่งตัวละครที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวควบคู่ไปกับทุกคาแร็คเตอร์ในเรื่องได้อย่างกลมกลืนและดีที่สุด
ในการทำหนังทุกเรื่อง ขั้นตอนหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบมากก็คือ การหาโลเกชั่นสถานที่ถ่ายทำ เพราะผมคิดว่า การตระเวนดูโลเกชั่นหาสถานที่ถ่ายทำ ไปในที่แปลก ๆ ที่เราไม่เคยไป หรือบางครั้งเคยไปแต่ก็เป็นเพียงแค่ผ่าน ๆ ไม่ได้ลงลึกไปกับมันซักเท่าไหร่ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการหาโลเกชั่นถ่ายทำในหนังเรื่องนี้ บางครั้งมันก็สามารถช่วยเหลือเราในแง่ของการเล่าเรื่องได้มากขึ้นด้วยครับ บางทีมันก็ทำให้มีไอเดียต่อยอดแตกออกมาได้อีกเยอะด้วยครับ
สำหรับเรื่องนี้ ผมก็ตระเวนหามันอยู่นานมาก และผมก็ใช้โลเกชั่นหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารเก่า เช่น วัด ตึกเก่า ตึกอนุรักษ์ บางแห่งก็เป็นสถานที่ราชการซึ่งมีอายุถึง 50-60 ปี และบางโลเกชั่นก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว เช่น กรมการค้าภายใน ที่ท่าเตียน ซึ่งผมรู้สึกดีใจมาก ที่ได้บันทึกสถานที่สวยงามแห่งนี้เอาไว้ ส่วนพวกวัดต่าง ๆ ก็เป็นวัดเก่า บางวัดก็มีอายุ 100 ปี เช่น วัดประยูรวงศาวาส ซึ่งผมรู้สึกชอบและหลงใหลในความสวยงามของวัด ผมไม่ค่อยได้เห็นวัดในหนังไทย ผมอยากถ่ายวัดออกมาให้สวย เพราะเราเป็นคนไทย ผมอยากถ่ายทอดในสิ่งที่บางคนอาจจะหลีกเลี่ยงที่จะถ่าย และที่สำคัญบังเอิญว่า เนื้อหาของหนังเกี่ยวข้องกับวิญญาณและโลกหลังความตาย ดังนั้นมันจึงเกี่ยวข้องกันไปโดยปริยายครับ
นอกจากนี้ยังมีโลเกชั่นแปลก ๆ อีกหลายแห่งซึ่งไม่เคยถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของหนังมาก่อน หรือแม้ว่าในบางสถานที่อาจจะเคยถูกใช้ในเรื่องอื่นมาก่อนก็จริง แต่พอมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ ก็จะถูกถ่ายทอดออกมาในแง่มุมที่ต่างกันออกไปครับ
ประกอบอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวไปแล้วในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ยังได้รับการดูแลใส่ใจ และพิถีพิถันให้ถึงคุณภาพในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคนิคพิเศษด้านภาพ ที่ทีมงานต้องการเนรมิตมหาสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้ชมชาวไทย เพื่อให้ประจักษ์ถึงความสามารถและพัฒนาการของทีมสร้างหนังสัญชาติไทยที่ไม่แพ้ต่างชาติ ในการผสมผสานเทคนิคไลฟ์แอ็คชั่น, GG , เมคอัพเอฟเฟ็คต์, มุมกล้อง และการตัดต่อที่น่าจับตาเป็นพิเศษด้วย
ในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่า เทคนิคพิเศษด้านภาพไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟ็คต์ต่าง ๆ, มุมกล้อง, การตัดต่อ หรือเทคนิคซีจี ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญค่อนข้างมากที่จะทำให้เรื่องราวที่ผมต้องการถ่ายทอด ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ พูดได้ว่า ทุก ๆ เทคนิคในหนังถูกทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนเติมเต็มให้การเล่าเรื่องสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้ทำให้เรื่องราวแกนหลักที่ผมต้องการจะสื่อถูกลดทอนความสำคัญลงไปแต่อย่างใด ทุก ๆ องค์ประกอบในหนังถือว่าเป็นส่วนที่เอื้อซึ่งกันและกันไปตลอดทั้งเรื่องครับ
เมื่อเนื้องานที่มีความสมบูรณ์ในทุก ๆ ด้านถูกประกอบหลอมรวมเป็นสุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่น-แฟนตาซีเรื่องนี้ โอปปาติกะ (โอป-ปะ-ปา-ติ-กะ)-เกิดอมตะ พร้อมแล้วที่จะให้ผู้ชมได้พิสูจน์ความยิ่งใหญ่อันมี บทสรุป ที่ทุกคนอาจคาดไม่ถึง
หนังเรื่องนี้ ตัวละครทุกตัวในเรื่องจะมีปมอยู่ ถึงคุณจะมีพลังพิเศษ แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียบางอย่าง ตอนที่คุณยังเป็นมนุษย์ คุณก็มีปม มีปัญหา แต่พอคุณมาอยู่ในโลกหลังความตาย คุณก็ยังมีปัญหา ไม่หลุดพ้น ดิ้นไม่หลุดเหมือนกับตอนที่ยังเป็นมนุษย์นั่นแหละ ความจริงแล้ว โลกของโอปปาติกในหนังของผม มันก็ไม่ต่างจากโลกมนุษย์นัก ตัวละครก็ยังมีกิเลสตัณหา ดิ้นไม่หลุด อยากได้ อยากมี และสุดท้ายทุกคนก็ล้วนมีความโดดเดี่ยวเป็นสรณะ
ผู้ก่อกำเนิด...โอปปาติก
ธนกร พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับหนุ่มวัยต้น 30 ผ่านงานในวงการภาพยนตร์มาหลายตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็น คนจดบันทึกการถ่ายทำ , ฝ่ายคัดเลือกนักแสดง และผู้ช่วยผู้กำกับจากเรื่อง เจนนี่ กลางวันครับ กลางคืนค่ะ, โกลคลับ เกมล้มโต๊ะ, โคลนนิ่ง คนก๊อปปี้คน, บางกอกแดนเจอรัสฯลฯ ก่อนที่จะขึ้นแท่นผู้กำกับภาพยนตร์อย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์สะท้อนภาพชีวิตและความรักของวัยรุ่นในสังคมเมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์เรื่อง FAKE โกหกทั้งเพ (2546) และ เอ็กซ์แมน แฟนพันธุ์เอ็กซ์ (2547) หนังที่ตีแผ่ชีวิตผู้คนที่หลงอยู่ในวังวนของเรื่องเซ็กส์ ๆ ทั้งหลาย
ล่าสุด เขากลับมาพร้อมผลงานกำกับเรื่องที่ 3 ที่ชื่อ โอปปาติก(โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)-เกิดอมตะ (2550) ที่เป็นการตีความคำ ๆ หนึ่งในพุทธศาสตร์ มาเป็นสุดยอดภาพยนตร์แอ็คชั่น-แฟนตาซี ที่รวมนักแสดงชั้นแนวหน้าของเมืองไทยไว้อย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น สมชาย เข็มกลัด, ลีโอ พุฒ, ชาคริต แย้มนาม, เร แม็คโดนัลด์, อธิป นานา, เข็มอัปสร สิริสุขะ, นิรุตติ์ ศิริจรรยา และ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
บันทึก...ผู้ก่อกำเนิด
ผมคาดหวังจะให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์แนว Action Fantacy
ที่มีเรื่องราวและการตีความจากความเชื่อ แนวคิดในแบบพุทธศาสตร์
ซึ่งมันใกล้กับวิถีของคนไทย
บวกกับฝีมือระดับเยี่ยมจากนักแสดงทุกคนที่ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้
เราคงได้การห้ำหั่นกันของพวกเขาเหล่านั้น
ทั้งฉากแอ็คชั่นและอารมณ์ที่นำไปสู่การต่อสู้
ซึ่งทั้งหมด ผมคิดว่ามันน่าสนใจ
โปรเจ็คต์... โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)
มันจึงเริ่มต้นขึ้น...
ธนกร พงษ์สุวรรณ (ผู้กำกับภาพยนตร์)
|