Fish Dont Fly แม้จะเป็นผลงานเรื่องแรก แต่ปราโมทย์ดูจะชัดเจนในแนวทางหนังที่ตนเลือกเดิน Fish Dont Fly แทบจะไม่มีบทสนทนา ปราโมทย์เลือกที่จะใช้ภาพและเสียง เล่าเรื่องราวของเด็กชายที่ถูกกระทำโดยผู้เป็นบิดา จนเด็กน้อยตัดสินใจเลือกหนทางชีวิตของตนบางอย่างในที่สุด บางตอนของภาพยนตร์ดำเนินเรื่องโดยใช้ความเงียบเป็นตัวเล่าเรื่อง ก่อนที่จะตัดเข้ามาด้วยเสียงกระชับที่ฉับไว ส่งผลให้การกระทำของตัวละครในเรื่องดูรุนแรงในอารมณ์มากขึ้น
การใช้เสียง และความเงียบ มีดนตรีและไม่มีดนตรีเป็นจังหวะที่ปราโมทย์ใช้เล่าเหตุการณ์การกระทำของตัวละครหลักตลอด ซึ่ง กลายเป็นจุดเด่นของ Fish Dont Fly ในทันที
แม้การถ่ายภาพอาจจะดูธรรมดา แต่ปราโมทย์ก็ได้นำเทคนิคง่าย ๆ มาใช้ หนังเริ่มเรื่องโดยการใช้ภาพคลื่นโทรทัศน์ที่มีแต่เสียงซ่า ดูเป็นการรบกวนจิตใจอย่างรุนแรง ก่อนที่จะปล่อยให้มันหายไป และใช้ความเงียบเป็นตัวดำเนินเข้ามาแทน วิธีการเหล่านี้ถูกนำมาใช้อีกครั้งในจินตนาการของเด็กชายเมื่อนึกถึงแม่ของตน
ท้ายที่สุดหนังมีการใช้ปลาเป็นสัญญลักษณ์ เพื่อเปรียบเปรยชีวิตอันขมขื่นของเด็กชาย แม้อารมณ์ของตัวละครจะไม่ออกมาชัดเจน แต่มันแสดงให้เห็นความเข้าใจของปราโมทย์ในการสื่องานภาพยนตร์ด้วยภาษาหนังขั้นปฐมบท
Bangkok 360 เป็นงานที่ปราโมทย์เน้นการเปิดเผยอารมณ์ของตัวละครมากเกินไป จึงทำให้หนังดูไม่แข็งแรงเท่า Fish Dont Fly หนังเริ่มเรื่องจากการเดินทางบนรถไฟฟ้าของใครคนหนึ่ง อย่างช้า ๆ และเลื่อนลอย ซึ่งยาวเกินไปในความรู้สึกของผู้เขียน พร้อมทั้งมุมกล้องที่พยายามจับให้เห็นตึกรามบ้านช่องของกรุงเทพจากบนรถไฟฟ้า จน อ่านออกได้เลยว่าโจทย์ในการทำหนังเรื่องนี้จะต้องเป็นการเล่าเรื่องของกรุงเทพอย่างแน่นอน
สิบนาทีหลัง ตัดภาพมาที่ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าหลุมฝังศพของใครคนหนึ่ง อารมณ์ความรู้สึกที่ออกมาชัดเจนมากเกินไป ทำให้หนังดูเหมือนเมโลดราม่า ไม่ประสานกับครึ่งแรกของหนังที่ออกมาในเชิงทดลอง ซึ่งบางครั้งก็แสดงให้เห็นเจตนาที่ต้องการจะทำให้หนังมีลักษณะแปลกแหวกแนวมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นภาพรถไฟที่บิดเบี้ยว มุมกล้องที่จับนาฬิกาถึงสามเรือนบ้าง สิ่งเหล่านี้ล้วน ไม่จำเป็นเลย
จุดเด่นของปราโมทย์ในวิธีการเล่นกับเสียงของหนังก็ยังคงมีให้เห็น โดยเฉพาะความเงียบในรถไฟกับเสียงภายนอกเมื่อรถไฟเปิด
Tsu เป็นงานหนังที่แสดงให้เห็นการเติบโตในการใช้ภาษาหนังของปราโมทย์อย่างเต็มที่ มันแสดงให้เห็นข้อได้เปรียบในการเป็นนักแสดงของเขา ในฐานะคนทำหนังสั้น ปราโมทย์เติบโตพอที่จะรู้ว่ามิติของหนังสั้นนั้นมันเหมาะสำหรับการเล่าเหตุการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในช่วงสั้น ๆ ที่เรียกว่า a moment of time มากกว่าจะเล่าเรื่องยาว ๆ ซึ่งคนทำหนังสั้นไทยหลายคนมักจะให้ความสำคัญ จนทำให้เนื้อเรื่องยาวเกินไปสำหรับหนังสั้น Tsu เป็นการบันทึกอารมณ์ความรู้สึกของเด็กชายผู้สูญเสียครอบครัวไปในเหตุการณ์สึนามิ และพยายามประคับประคองจิตใจของตนเองด้วยการเตรียมป้องกันการกลับคืนมาของมหันตภัยธรรมชาติลูกนี้
ความโดดเด่นของ Tsu ดูจะชัดเจนที่สุดในการทำหนังทดลองที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกทั้งมวล ไม่ใช้เฉพาะความรู้สึกของตัวละครเพียงอย่างเดียว ด้วยพื้นฐานการเป็นนักแสดง ปราโมทย์จึงเข้าใจว่า การที่เขาใช้ลองเทคกับภาพที่เด็กชายเดินกระเผลกไปตามชายหาดนานถึง 7- 8 นาทีนั้น ท้ายที่สุดแล้วมันทำให้คนดูมีความรู้สึกร่วมกับตัวละคร ความพยายามที่จะเดินต่อไปข้างหน้าในภาวะแห่งการสูญเสีย ผู้เขียนเห็นว่าการใช้ลองเทคตรงนี้กลายเป็นส่วนที่ดีที่สุดของ Tsu หนังเต็มไปด้วยความเศร้า เหงา แต่มีกำลังใจที่จะเดินต่อไปข้างหน้า
แนวทางที่ปราโมทย์ใช้ใน Tsu อาจจะเป็นสัญญลักษณ์ของปราโมทย์ต่อไปในอนาคตได้ดี การผสมผสานภาษาหนังและการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของหนังทั้งมวล โดยอาจจะเริ่มจากความรู้สึกของตัวละครอย่างพอเหมาะพอดี ก่อนที่จะขยายมาสู่ตัวหนัง ผู้เขียนก็ได้แต่หวังว่า ปราโมทย์จะไม่หลงทางหันไปทดลองใช้ภาษาหนังมากเกินไป แต่ไม่รู้ว่าจะบอกอะไรเหมือนอย่างที่เห็นในคนทำหนังอินดี้หลายคน และไม่เน้นการแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครออกมาชัดเจนมากเกินไป อย่างที่เห็นใน Bangkok 360 ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่า ปราโมทย์สามารถจะรักษาได้ดีหรือไม่ในอนาคต |