บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 ฉลอง 100 ล้านในหนึ่งสัปดาห์
หอแต๋วแตก 50 ล้านภายใน 4 สัปดาห์
แฝด รอหนึ่งสัปดาห์เพื่อฉลอง 50 ล้าน
อสุจ๊าก ได้เพียง 9 แสนบาทจากการฉาย 4 วัน ขณะที่ ยังไงก็รัก ผีไม้จิ้มฟัน แม้จะไม่ทราบรายได้แน่นอน แต่การยืนหยัดอยู่ในโรงกว่าสามสัปดาห์ ก็แสดงให้เห็นว่า หนังน่าจะทำรายได้ที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง จนไม่ทำให้เจ้าของหนังตกใจมากนัก
ปรากฎการณ์เช่นนี้ บอกอะไรเกี่ยวกับคนดูหนังไทยได้บ้าง
มองด้วยสายตา มีหนังเพียง 2 เรื่องที่ไปฉายเมืองนอกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นั่นก็คือ แฝด และ อสุจ๊าก ตามมาอีกทีอาจจะเป็น บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 เพราะมีฉากแอ็คชั่นจากการวาดฝีไม้ลายมือของหม่ำ จ๊กม๊ก เฉกเช่นเดียวกับที่ภาค 1 เคยทำมาแล้ว ซึ่งฝรั่งกำลังให้ความสนใจอยู่
แต่สำหรับหนังอีก 3 เรื่องอย่าง หอแตกแต๋ว ผีไม้จิ้มฟัน และ ยังไงก็รัก ขอบอกตรง ๆ ว่า ค่อนข้างยาก ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ดังนี้
หอแต๋วแตก ขอยอมรับว่าผู้เขียนดูหนังเรื่องนี้ด้วยความอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่เวลาดูหนังไทยนั้น ตัวเองมักจะสนุกอยู่เสมอ แม้แต่หนังแย่ ๆ ทั้งหลาย เพราะเวลาดูหนังเหล่านี้ จะมองด้วยแว่น 2 คู่ที่แตกต่างกัน คู่แรกเป็นมุมมองแบบวิจารณ์ ก็วิเคราะห์ในแง่การสร้างไป ถ้าหนังเรื่องไหนที่ขาดคุณค่าทางภาพยนตร์ ก็จะใช้แว่นกรอบวิชาการเข้ามาช่วย วิเคราะห์หนังเรื่องนั้น ๆ ในแง่วัฒนธรรมไทย
แต่ตอนดู หอแต๋วแตก นั้น แม้แต่สมองซีกวิชาการก็แทบจะเอาไม่อยู่ คนทำกำลังคิดอะไรอยู่นี่ พร้อมกับที่ตัวเองพยายามอดทนอย่างถึงที่สุดที่จะไม่เดินออกจากโรงหนัง
เมื่ออดกลั้นจนพ้นจุดวิกฤติที่จะก้าวออกจากโรง ก็เลยทำให้มองเห็นว่า คนทำหนังเรื่องนี้ คิดแต่จะทำ รายการตลก เพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงหนัง เพราะแม้แต่หนังตลกของฮอลลีวู้ด ประเภท slapstick บางเรื่องก็มีคุณค่าของมัน
รายการตลกที่ว่า จึงต้องคัดดาราตลกที่ขายได้มาเล่น พร้อมใส่องค์ประกอบที่จะจี้เอวคนดูได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดง หรือบทพูด เพราะฉะนั้นก็เลยเอาบทพูดที่เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเซ็กส์เข้ามาใส่ เป็นต้น
คุณสมบัติเหล่านี้ มันก็เหมือนกับสิ่งที่เราเห็นในช่วงตลกตามรายการวาไรตี้ต่าง ๆ บนจอทีวี คนดูไม่สนใจว่ามันจะสมจริงหรือไม่ คนดูรู้แต่ว่าเราดูงานเหล่านี้เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว
หอแต๋วแตก แค่นำสิ่งที่อยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ มาวางบนจอเงิน แล้วก็หาองค์ประกอบมาใส่ให้ดูเหมือนจริงสักหน่อย แค่นี้ไม่เพียงพอที่น่าจะดึงแฟน ๆ ออกมาจากบ้านมาซื้อตั๋วหนังได้ ก็เลยพยายามสร้างภาพใหม่ให้พวกเขา

เพราะฉะนั้น โก๊ะตี๋จึงต้องใส่ชุดนิสิตหญิง ต้องใส่ชุดแฟนซีสีสัน เช่นเดียวกับจาตุรงค์ ม๊กจ๊ก ต้องแต่งตัวเป็นอาซ้อ
ภาพใหม่ บทใหม่ที่ดาราทั้งสองไม่เคยมี เพราะฉะนั้น ก็เลยขอสร้างภาพนักแสดงใหม่ ๆ อีกคน ไม่ว่าจะเป็น อ. ยิ่งศักดิ์ ซึ่งยังไม่เคยแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาก่อน หรือไฮโซโซเฟีย มาด่าทอแบบหญิงชาวตลาด
แฟน ๆ ของดาราเหล่านี้ก็เลยตามไปดูภาพใหม่ของคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยความคาดหวังว่าพวกเขาจะได้รับความบันเทิง อย่างที่พวกเขาเคยได้จากงานของพวกนี้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะในทีวี หนังตลก หรือแม้แต่แผ่นรายการตลกคาเฟ่ ซึ่งมีขายกันทั่ว
. เพราะฉะนั้น 50 ล้านจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
.
ผีไม้จิ้มฟัน ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่สามารถทำเงินได้แบบถล่มทลาย แต่การยืนหยัดในโรงหนังมากกว่าสามอาทิตย์ แสดงว่าหนังน่าจะเอาตัวรอดไปได้ประมาณหนึ่ง
จุดขายของ ผีไม้จิ้มฟันอยู่ที่ความเป็นหนังผี โดยเน้นเป็นผีแบบไทย ๆ อย่างผีต้นไทร พร้อมนำดาราชื่อดังอย่างฉัตรชัย หงษ์พานิช มาเป็นผีนายพล
แต่วิธีการถ่ายทำของ ผีไม้จิ้มฟัน กลับไม่น่ากลัว หนังเน้นความน่าสะพรึงกลัวของผีน้อยกว่าหนังผีหลายเรื่อง ออกจะเป็นแนวตลกด้วยซ้ำ
โดยความฮาครั้งนี้ มีจุดสนใจอยู่ที่ อี๊ด โปงสะลาง บทส่วนใหญ่จึงตกอยู่ที่เขา มากกว่าดาราวัยรุ่นคนอื่น ๆ และมากกว่าผีอย่างฉัตรชัย
เพราะหนังให้ความสำคัญกับอี๊ด โปงสะลาง กล้องจึงมักจะจับที่หน้าตาและการแสดงออกของอี๊ดเป็นส่วนใหญ่ ดูง่าย ๆ อย่างฉากผีหลอก กล้องจะจับที่หน้าตาของเขา ตั้งแต่ไม่รู้ตัวว่าผีมา จนกระทั่งผีมาแล้ว กล้องจับที่ผีน้อยกว่าอี๊ดเสียอีก ทั้งนี้เพราะผู้กำกับรู้ว่าการแสดงของอี๊ดคือจุดขาย ซึ่งวิธีการเช่นนี้ มีลักษณะแตกต่างจากสูตรของหนังผีทั่วไป ที่มักจะเน้นการคืบคลานของผี ตัดภาพสลับกับภาพคนถูกผีหลอก
เพียงแต่ว่า ผีไม้จิ้มฟัน ไม่ได้ละทิ้งองค์ประกอบของหนังผีไปทั้งหมดเหมือนอย่าง หอแต๋วแตก ซึ่งเอาการแสดงของดาราตลกเพียงอย่างเดียว แต่ ผีไม้จิ้มฟัน ยังคงรักษาองค์ประกอบของหนังผีไว้บ้าง เช่น เทคนิคอันน่าสะพรึงกลัว หรือการตัดต่อที่ชวนสยองบ้าง แม้จะไม่มากนักก็ตาม อาจจะเป็นเพราะว่าการแสดงที่เป็นจุดขายในเรื่องนี้มีที่อี๊ดคนเดียว ไม่ได้มีมากมายเหมือนหนังค่ายห้าดาว
ทีนี้มาถึงหนังที่ไม่เกี่ยวกับผีเลยอย่าง ยังไงก็รัก การฉายมากถึงสามสัปดาห์ก็เป็นหลักประกันรายได้ประมาณหนึ่งของหนังเรื่องนี้
ทั้งที่พล็อตหนังเรื่องนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ แถมการนำเสนอภาพตัวละครอันไม่เหมือนจริงเลย ไม่ว่าจะเป็นเซลส์แมนที่สุดแสนจะเชย แต่กลับมีเมียน้อยที่สวยสดและเก่ง หรือเมียหลวงอย่างเง็ก ที่อายุน่าจะเพียงสามสิบกว่า แต่ใช้ชีวิตเหมือนซิ้ม
ปุจฉา: ไม่ทราบว่ายังมีคนอายุรุ่นสามสิบ ที่แต่งตัวและใช้ชีวิตแบบเชยระเบิดแบบนี้อีกหรือ
แม้ว่าเนื้อเรื่องของหนังแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เอาง่าย ๆ ถ้ามีผู้หญิงมาถือทวน แบกหุ่นฟาง วิ่งตั้งแต่กรุงเทพไปทะเลเป็นวัน ๆ แบบนี้ เชื่อว่า ตำรวจต้องพาจิตแพทย์มาแน่
แต่ ยังไงก็รัก มีดีเจสมพล มีส่วนช่วยในการดึงคนไทยให้ไปดูหนังเรื่องนี้อยู่บ้าง เพราะถ้าว่ากันจริงแล้ว หนังไม่น่าจะทำเงินได้เลย เพราะดารานำอีกคนอย่างกิ๊ก สุวัจนีนั้น มีแฟนส่วนใหญ่อยู่ตามจอทีวีมากกว่า และกิ๊ก สุวัจนีเองก็ไม่ใช่ดาราที่เป็นนางเอก เธอเป็นตัวอิจฉาที่ชอบโวยวายด้วยซ้ำ
เพลง ก็เป็นแรงดึงดูดที่สำคัญอีกตัว เพราะทราบจากเพื่อนที่ทำงานกับพวกโทรศัพท์มือถือ เขาบอกว่า เพลงจากหนังเรื่องนี้ มีคนโหลดริงโทนเยอะมาก
อีกจุดสำคัญหนึ่งก็คือ การเล่าเรื่องหนังในบางตอน ก็สร้างแรงสะเทือนใจอยู่บ้าง โดยเฉพาะในตอนท้าย ๆ ซึ่งการแสดงที่กินขาดของกิ๊ก สุวัจนี ภาพของเมียผู้เสียสละให้สามีขนาดนั้น ยอมรับว่าเธอเล่นได้ดี
แต่หนังทั้งสามเรื่องที่กล่าวมา คงจะขายเมืองนอกลำบาก หอแต๋วแตกเล่าเรื่องตลกที่ต่างชาติจะต้องเห็นว่าไร้สาระ และตัวงานไม่มีความเป็นหนังเลย ผีไม้จิ้มฟันอาจจะมีความน่ากลัวแบบหนังผีอยู่บ้าง แต่ต่างชาติเขาไม่ได้อยากมาดูหน้าตาของอี๊ด เขาอยากดูความน่ากลัวของหนังผี ซึ่งผีไม้จิ้มฟันมีเพียงนิดเดียว ขณะที่ ยังไงก็รัก มีปัญหาที่เนื้อเรื่อง
ฝรั่งเขารับไม่ได้หรอกค่ะ ใครที่จะยอมทำให้สามีขนาดนี้ ฝรั่งเขาระวังเรื่องสิทธิ์มาก ถ้าหนังจะไปได้ น่าจะไปได้ในประเทศเล็ก ๆ แถวบ้านเรามากกว่า
ทีนี้มาถึงหนังที่ผู้เขียนคิดว่า มีความเป็นสากลและเพียบพร้อมด้วยภาษาหนังมากกว่าเรื่องอื่น ๆ อย่าง แฝด และอสุจ๊าก
แฝด ขึ้นชั้นหนังป็อบที่มีคุณภาพในประเทศไทยได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทั้งบทที่ดูสมเหตุสมผล มุมกล้อง การถ่ายภาพและการแสดงอันเหนือชั้นของดารานำ แถมผู้กำกับก็รู้ว่าจะสร้างความน่ากลัวได้ในระดับหนึ่ง
แต่ แฝด เป็นหนังแนวที่เรียกว่า genre เป็นหนังขายที่มีคุณภาพ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า หนังจะมีความเป็นอาร์ตเอ้าส์มาก ๆ ว่าไปแล้วหนังสอบผ่านทั้งหมดในกระบวนการทำหนังดี เพียงแต่ว่า มันไม่ได้มีอะไรใหม่ หลาย ๆ ตอนเอามาจากหนังผีเกาหลี ผีญี่ปุ่น
ดูบ้านตอนแรก ๆ นึกถึง Psycho ดูต่อไปถึงการพลิกบทในช่วงท้าย ๆ นึกถึง Sleeping with the Enemy
เพราะฉะนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าหนังต้องขายได้ในต่างประเทศมาก แต่ในแง่การเดินทางไปเทศกาลหนังนั้น อาจจะจำกัดอยู่เฉพาะบางเทศกาลหนังระดับกลาง หรือถ้าไดไ้ปเทศกาลหนังใหญ่ ๆ ระดับโลก คงต้องเลือกที่มี Midnight Screening หรือมีประเภทหนังเฉพาะด้าน อย่างที่ เด็กหอ ไปเบอร์ลินได้ในสายหนังเด็ก
ทีนี้มาถึง อสุจ๊าก ที่ทราบมาว่า รายได้น้อยมาก
ผู้เขียนไปดูหนังเอาวินาทีสุดท้าย ก็วันพุธที่ผ่านมาค่ะ ดูโรงหนังในจังหวัดชานเมือง เพราะรอบการฉายที่อื่นไม่สะดวกเลยค่ะ มีคนดูแค่ 3 คนรวมผู้เขียน
อสุจ๊าก เป็นหนังแฟนตาซีที่เล่าเรื่องเป็น และผู้กำกับเล่าหนังให้สนุกได้ในระดับหนึ่ง ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครเขาว่ากันนัก ญี่ปุ่นมีก็อดซิลล่า ฮอลลีวู้ดมีคิงคอง มนุษย์ต่างดาว สัตว์ประหลาดต่าง ๆ ไทยก็มีตัวประหลาดที่เป็น อสุจ๊าก
โดยสไตล์ของหนังแล้ว มันใช้ได้ ถ้าจะมีอิทธิพลบ้าง น่าจะเป็นกาเหว่าที่บางเพลง จากบทประพันธ์ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
แต่ทำไมรายได้หนังถึงตกฮวบฮาบแบบนี้ แถมพอหนังจบนั้น คนดูอีกสองคนรำพึงออกมาว่า หนังไร้สาระ
ตรงนั้นล่ะค่ะ ที่ทำให้ผู้เขียนนั่งนึกมาตลอดทางที่กลับบ้านว่า เอ คนไทยมีความคิดต่อหนังแฟนตาซีกันอย่างไรแน่
เพราะถ้าจะว่ากันไปแล้ว หนังทั้ง 6 เรื่องนั้น มากกว่า 4 เรื่องเป็นหนังแฟนตาซี ไม่ว่าจะเป็น หอแต๋วแตก ผีไม้จิ้มฟัน แฝด และอสุจ๊าก คงมีแต่เพียง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 และ ยังไงก็รัก ที่เป็นเรื่องรอบตัวเรา ไม่ได้จินตนาการขึ้นมาเอง มีแต่เนื้อเรื่องเท่านั้นที่สมมติขึ้น
เรื่องผีก็ถือว่าเป็นแฟนตาซีอย่างหนึ่ง ไม่แตกต่างจากมนุษย์ต่างดาว หรือสัตว์ประหลาดใน อสุจ๊าก
เพียงแต่ว่า แฟนตาซีเรื่องผีเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะชีวิตประจำวันของพวกเราคุ้นเคยกับเรื่องผีมาตลอด เราไหว้ผีจนเป็นธรรมเนียมปฎิบัติ
ขึ้นบ้านใหม่ ก็มีศาลพระภูมิคอยคุ้มครองบ้าน ลงเรือก็มีแม่ย่านาง ต้นไม้ก็มีเทพารักษ์ ยิ่งถ้าเป็นคนจีนแล้ว จะยิ่งมีพิธีกราบไหว้ผีมากมายในแต่ละปี
แต่พอมาเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เราคนไทยไม่คุ้นเคย ก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
อีกปัญหาหนึ่งก็คือ เนื้อเรื่องอสุจ๊าก กับแนวทางของหนังมันสวนทางกัน
เนื้อเรื่องที่วนเวียนอยู่ใต้ร่มผ้าแบบนี้ เมื่อก่อนมันมีแต่หนังโป๊ หนังเกรดบี ซึ่งหนังประเภทนี้ไม่ได้ให้ความสนใจหรอกค่ะว่า จะเล่าเรื่องอย่างไร มีวิธีการดีหรือไม่ เพราะคนดูกลุ่มนี้เป็นคนไทยระดับล่าง
แต่แนวทางการเล่าเรื่องของอสุจ๊าก น่าจะอยู่ที่คนในเมือง หรือคอหนัง ซึ่งสำหรับคนกลุ่มนี้แล้ว เซ็กส์เป็นเรื่องที่จะไม่มาพูดกันอย่างตรง ๆ คือ ชีิวิตจริง ๆ จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่จะไม่ขอออกมาพูดกันอย่างเปิดเผยค่ะ
อสุจ๊ากจะเป็นที่ยอมรับของฝรั่งได้ง่ายกว่า หนังน่าจะไปฉายในสายหนังรอบมิดไนท์ หรือที่เรียกว่า midnight screening เพราะแม้หนังอาจจะไม่ได้มีความเป็นอาร์ตสูงมาก แต่นี่คือหนังแฟนตาซีแบบไทย ๆ
มาถึงตรงนี้ สรุปได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่พวกเรา ไปดูหนังเพราะตัวแสดงที่เขารู้จัก หรือดูดารา ไม่ว่าดาราที่เขาชื่นชอบจะแสดงได้สมจริงหรือไม่หรือบทจะน่าเชื่อถือขนาดไหน (หอแต๋วแตก ผีไม้จิ้มฟัน) เขาไม่สน เขาต้องการเพียงความบันเทิงอย่างเดียว
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะมีทั้งคอหนังแบบเราท่านและคนเมือง ซึ่งเราจะรู้สึกผะอืดผะอมกับหนังกลุ่มข้างบน แต่จะรับเรื่องที่เราคุ้นเคย ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อาจจะเป็นแฟนตาซีก็ได้ แต่ห้ามเป็นแฟนตาซีที่ต้องห้าม
แต่ถ้าเป็นหนังสัจนิยม เป็นหนังสะท้อนปัญหาสังคมเลย คนไทยทั้งสองกลุ่ม กลุ่มตลาดล่างและคนเมือง ก็จะไม่ชอบ เพราะเราคนไทยมองหนังเป็นสื่อเพื่อความบันเทิงใจ เราไม่ได้มองหนังเป็นงานศิลปะ คนมีคอหนังไม่กี่คนที่มองหนังเป็นงานศิลปะ
ส่วนคนดูฝรั่งนั้น จะมีลักษณะทั้งเป็นคอหนังแบบเราท่าน และกลุ่มคนเมือง ส่วนกลุ่มพื้นบ้านนั้น ที่จะมองหนังแค่เป็นเพียงสิ่งบันเทิง จะเห็นในประเทศแถบบ้านเราอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สำหรับฝรั่งนั้น ยังไม่เคยเห็นนะคะ
เท่านี้ คงพอจะเห็นภาพวัฒนธรรมการเสพหนังของคนได้บ้างนะคะ
ก็เป็นเพียงแค่ความเห็นหนึ่งเท่านั้นนะคะ
(ปล. ไม่ได้เขียนถึง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 มากนัก เพราะยังไม่ได้ดูค่ะ คาดการณ์ผิดไปสักนิด คิดว่าหนังจะฉายต่ออีกอาทิตย์ แต่หนังต่างถูกถอดออกจากโรงหมดแล้ว)
|