Day 5
Louder Than Bombs ระเบิดจริง แต่ไม่ได้แรงอย่างที่คิดไว้
หนังของ Joachim Trier เรื่องนี้กระตุกผู้เขียนขึ้นมาจากความเบื่อหนังเมืองคานส์ปีนี้ได้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะซวนเซด้วยความยืดยาวและหลงในเรื่องเก่าแบบเดียวกับครอบครัวรีดในหนังเรื่องนี้
เรื่องราวเริ่มขึ้นที่ครอบครัวของลูกชายคนโตตระกูลรีดที่คลอดลูกอยู่โรงพยาบาล แต่เรื่องราวตอนขึ้นเรื่องกลับไม่ค่อยเกี่ยวกับธีมหลักของหนังนัก หนังพุ่งตรงไปที่ชีวิตและความนึกคิดของตัวละครหลักสองตัวของช่างภาพสตรีชื่อดังอิซาเบล รีด ซึ่งชอบเดินทางไปถ่ายภาพสงครามในที่ต่าง ๆ เธอเกิดเสีียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ และจะมีการจัดนิทรรศการผลงานของเธอขึ้น แต่เรื่องราวส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับยีนส์? สามีของเธอกับคอนราด ลูกชายคนเล็ก โดยมีโจน่าห์ ลูกชายคนโตเข้ามาเป็นตัวเชื่อมเรื่องราว หนังเน้นที่การสร้างความสัมพันธ์ของคนทั้งสาม หลังจากที่อิซาเบลเสียชีวิต
ตอนต้นที่ผู้เขียนดูหนังเรื่องนี้นั้น มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะหนังได้เบรครายละเอียดออกเป็นส่วนย่อยต่าง ๆ ที่กระจัดกระจาย ได้แก่ เหตุการณ์จริงตั้งแต่เจ้าหน้าที่มาติดต่อยีนส์เพื่อจัดนิทรรศการ ยีนส์สะกดรอยตามดูพฤติกรรมคอนราด โจน่าห์กลับมาอยู่บ้านและจัดแฟ้มงานของแม่ โดยเหตุการณ์จริงได้ดำเนินไปจนถึงหลังการเสียชีวิตของอิซาเบลไปสองปี ระหว่างนั้นก็จะแทรกด้วยความทรงจำของตัวละครหลักคือ ยีนส์กับคอนราดถึงอิซาเบล ความฝันของตัวละครทั้งในปัจจุบันและอดีต (รวมถึงความฝันของอิซาเบลที่เคยเล่าให้สามีฟัง) จินตนาการฝันเฟื่องของคอนราด ลูกชายคนเล็ก ยังไม่รวมไปถึงเรื่องราวจากภาพถ่ายของอิซาเบล
ทำให้หนังมีโครงสร้างการเล่าเรื่องที่แตกระแหง แต่ผู้กำกับก็สามารถร้อยเรียงเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจและเข้าใจเป็นอย่างดี ทุกอย่างที่เล่ามาได้บอกเรื่องราวที่ผ่านมาของครอบครัวนี้กับอิซาเบลทั้งหมด รวมถึงการนอกใจของอิซาเบล ซึ่งต่อมาโจน่าห์ลูกชายเป็นคนค้นพบจากภาพถ่ายของแม่เอง
ผู้เขียนชอบมากเลยค่ะกับรายละเอียดที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับ Joachim Trier ใช้ภาษาภาพบอกเล่าทุกอย่างได้อย่างหมดจนและซ่อนเร้น เพียงแต่ว่าเราต้องสังเกตให้มากหน่อย และทำให้ตัวละครอย่างอิซาเบลนั้นมีชีวิตอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเธอจะจากไปแล้วถึงสองปีก็ตาม
แต่อย่างว่า พอผ่านไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว ดิฉันก็เริ่มจับทางได้ทั้งหมด และเริ่มเบื่อ จนเวลา 110 นาทีนั้นยาวไปอีกแล้วค่ะ หนังคงก้าวไปไม่ถึงปาล์มดอร์ แต่น่าจะได้รางวัลใดรางวัลหนึ่งกลับบ้านบ้างล่ะ
- Mon Roi เส้นกราฟของชีวิตคู่
เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่บทดารานำหญิงมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลอยู่ไม่น้อย Emmanuella Bercot
มันเป็นหนังชีวิตคู่ธรรมดา ๆ เรื่องหนึ่ง แต่ผู้กำกับหญิง Maiwann กลับทำให้ภาพยนตร์ที่ดูยาวยืดน่ารำคาญเช่นนี้ เริ่มต้นด้วยหลาย ๆ สิ่งที่น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นความกระชับในช่วงครึ่งแรก มุมกล้องที่เหมือนกับแอบมองตัวละครอยู่ แต่เพราะความยืดเยื้อของชีวิตคู่ของคนสองคนที่รักกัน แต่กระตุกขึ้นกระตุกลงเหมือนเส้นชีพจร ทำให้มันกลายเป็นความทรมาณที่แทบจะทำให้ลุกออกจากโรงอยู่หลายครั้ง
Mon Roi พูดถึงชีวิตรักของโทนี่ทนายความสาวกับสามีของเธอ ทั้งคู่เคยรู้จักกันมาก่อนตั้งแต่สมัยโทนี่ทำงานพาร์ทไทม์ในบาร์เล็ก ๆ สมัยเป็นนักเรียน เขาเป็นหนึ่งในขาประจำ เธอทักทายเขาด้วยวิธีการที่เขาทำเมื่อเวลาปิ๊งสาวคนใด แรก ๆ เขาจำเธอไม่ได้ ก่อนที่ความสัมพันธ์ของเขาจะพัฒนายาวนานกว่าสิบปี แม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไปบ้างอยู่เป็นประจำ
ผู้เขียนชอบในส่วนที่เอ่ยถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองในตอนแรก มันเต็มไปด้วยความรักและสิเน่หาที่คนสองคนจะมีต่อกัน ดูจับใจ และการแสดงของคนทั้งสองก็ชวนให้น่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ผู้กำกับคัดเลือกนักแสดงทั้งสองมารับบทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างวินเซนต์ คาสเทลได้พลิกจากบทบาทหัวหน้าเด็กบ้าเลือดที่ผู้เขียนเคยดูใน La Haine สมัยที่เขาเริ่มเล่นหนังได้อย่างน่าแปลกใจ เขาปรวนแปรแต่ก็มีความรักต่อโทนี่และซินแบดผู้เป็นลูกชายอยู่เหนียวแน่นและมั่นคง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ไม่ต้องพูดถึง Emmanuella Bercot ล่ะ แม้เธอจะอ่อนแอหลายครั้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความรักอันเอ่อท้นในหัวใจ
ถ้ามองว่าความรักและชีวิตคู่หลายครั้งมันก็ชวนเวียนหัวและน่ารำคาญ หนังเรื่องนี้ก็ได้ถ่ายทอดให้เห็นภาพความจริงที่หลีกเลี่ยงนี้ไม่ได้เอาเข้าจริง ว่าไปแล้วดาราทั้งคู่อาจจะมีสิทธิ์ลุ้นดารานำชายหญิงทั้งคู่ในปีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
|