Day 8 / 23 พฤษภาคม
Post Tenebras Lux (Carlos REYGADAS)
ไม่ได้รู้สึกไปเอง แต่หลังจากที่ดูหนังเม็กซิกันเรื่อง Post Tenebras Lux เรื่องนี้จบ ดิฉันก็เอ่ยกับเพื่อนต่างชาติว่า เหมือนงานของอภิชาติพงศ์ ....ทุกคนหันหน้ามา แล้วร้องว่า ใช่ ใช่ ผมจะบอกคุณตั้งแต่ตอนดูด้วยกันแล้ว บ้างก็บอกว่าเหมือน ลุงบุญมีระลึกชาติ เลยแหล่ะ
หนังที่ชื่อพิเศษเรื่องนี้ (ไม่มีคำแปลชื่อเรื่อง) เล่าเรื่องราวหลาย ๆ เรื่องทับซ้อนกันอยู่ เรื่องหลักเป็นเรื่องราวของครอบครัวฮวนกับนาตาลี ซึ่งมีลูกสาวลูกชายเล็ก ๆ สองคน เรื่องย่อของหนังบอกว่าทั้งคู่เป็นคนเมืองที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในชนบท แต่ตอนดูไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าทั้งคู่เป็นคนเมืองมาก่อน แค่มีงานเลี้ยงสังสันทน์กับเพื่อนฝูง แต่เมื่อดูหนังแล้ว มันมีอะไรมากกว่านั้น เราได้เห็นฮวนพานาตาลีไปขายตัว เห็นการประชุมและการใช้ชีวิตของกลุ่มชาวบ้านในชุมชน เห็นทีมฟุตบอลที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ และฉากจบที่แทบไม่มีใครคิดถึง ซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะและปรบมือกันใหญ่ เห็นผีวัวต้นเรื่องและท้ายเรื่อง
Carlos REYGADAS. สลายการเล่าเรื่องที่เราคุ้นเคยออกทั้งหมด หนังไม่ได้รวมเป็นก้อนเดียวกันตามลำดับเหตุการณ์ แต่ได้ก้าวข้ามมิติของเวลาด้วยโครงสร้างหนังที่คล้ายคลึงกับอภิชาติพงศ์มาก จึงไม่แปลกนักที่หนังจะดึงตำนานพื้นบ้านของเม็กซิกันเรื่องผีวัวมาผูกไว้ด้วย (พ่อกลายเป็นผีวัว) เดินเข้าออกบ้านในยามค่ำคืนเพื่อซ่อมแซมบ้าน (ไม่น่าจะเป็นบ้านของเขาเอง แต่เป็นบ้านของเซเว่น เพื่อนที่หักหลังเขาในภายหลัง - สังเกตุได้จากหน้าตาเด็กที่เห็นผีในตอนกลางคืน) ยังไม่หมดค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างจริงไม่จริงยังรวมไปถึงการฆ่าตัวตายของตัวละครหนึ่งด้วยการดึงหัวออกมาเท่านั้น กลายเป็นผีหัวขาดในฉับพลัน การทับซ้อนของมิติเวลายังแสดงออกโดยภาพตัวละครทับซ้อนกัน ซึ่งเขาใช้กล้องพิเศษถ่ายทำ
แต่หลายคนดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่อง สำหรับตัวผู้เขียนเอง ได้ความหมายอย่างหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่าจะถูกร้อยเปอร์เซนต์หรือเปล่า เพราะได้ดูเพียงรอบเดียว ดิฉันคิดว่าการที่หนังเสนอให้ตัวละครเป็นคนเมืองมาอยู่ป่านั้น ส่วนหนึ่งเพื่อเสนอโลกสองโลกของตัวละคร นอกไปจากการทับซ้อนของมิติเวลา แม้หนังจะแสดงให้เห็นฉากเมืองน้อยมาก แต่สิ่งหนึ่งทีจับได้ก้คือหนังเรื่องนี้เกิดสมัยไหนก็ได้ อาจจะเกิดสมัยที่เพลงของนีล ยังรุ่งเรือง (นาตาลีดีดเปียโนเล่นเพลงนี้) หรืออาจจะเกิดในปัจจุบันก็ได้ ทั้งสองมีความหลังอะไรอย่างหนึ่งทั้งคู่ จนทำให้ต้องมาอยู่ชนบท แต่เมื่อมาอยู่แล้ว ความหลังบางอย่างก็ยังตามมา นาตาลียังต้องไปขายตัวเลี้ยงครอบครัว รวมทั้งการที่ครอบครัวของเธอต้องไปขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ภาพที่เธอพูดฝรั่งเศสเมื่อขายตัวกับทีมฟุตบอลพูดอังกฤษอาจมีนัยถึงการเป็นคนชั้นสองของครอบครัวนี้ที่ยังคงแปลกแยกไปทุกที่ ....หนังอาจจะมีความหมายทางสังคมอยู่ แต่ดิฉันไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซนต์นักค่ะ คงต้องดูอีกรอบ
On the Road (Walter Salles)
On the Road ของวอลเตอร์ ซาเลส เป็นนหนังที่ตัวเองอยากดูมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ในฐานะคนรักการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ และในฐานะที่เขาเคยทำ The Motorcycle Diaries บันทึกอันเป็นจุดเปลี่ยนอุดมคติของเช กูวาร่า แต่ On the Road เป็นเพียงหนังที่เล่าเรื่องการดำเนินชีวิตของนักเขียนอเมริกันรุ่น "บีท" ที่ไม่เห็นพลังและจิตวิญญาณเท่าไรนัก นอกจากคำพูดตอนจบที่แสดงให้เห็นว่า "การเดินทางคือการสร้างพลัง สิ่งที่เหลือมีเพียงแต่ความเหนื่อยอ่อน"
หนังเล่าเรื่องของนักเขียนรุ่น "บีท" (เป็นนักเขียนยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่สร้างวัฒนธรรมการทดลองเสพยา ร่วมเพศมั่วไปหมด สนใจในต่างศาสนา ปฏิเสธวัตถุนิยมทุกรูปแบบ) โดยให้แซล พาราไดซ์เป็นตัวหลักในการเล่าเรื่องของเขากับเพื่อนสนิทดีน มอเรียอาร์ตี้ ซึ่งทั้งหมดเคยมีชีวิตจริงและเป็นนักเขียนสำคัญรุ่นนั้น ตามหนังสือต้นฉบับนั้น แซลเดินทางรัฐตะวันออกไปทางตะวันตก โดยหยุดบ้างเป็นระยะเพราะปัญหาเรื่องเงินและอื่น ๆ
ถ้าคุณคาดหวังว่านี่จะเป็นหนังเดินทาง "บนท้องถนน" เหมือนชื่อหนัง คุณอาจจะต้องผิดหวัง การเดินทางไม่ได้เป็นส่วนสำคัญเท่าไรนัก หนังเน้นการใช้ชีวิตของกลุ่มนักเขียนทั้งสองกับครอบครัวของพวกเขามากกว่าจะเป็นผู้คนหลากหลายหน้าตามท้องถนน โอเค เข้าใจว่าการเรียนรู้ชีวิตบางครั้งก็มิได้อยู่บนถนนทั้งหมด และเราได้เห็นแซลโบกรถตั้งแต่เริ่มเรื่อง แต่เอาเข้าจริง มันเป็นการเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างกลุ่มเพื่อนฝูงและเครือญาติของตัวละครต่าง ๆ เหมือนการดำเนินในชีวิตจริงมากกว่า เพราะฉะนั้นความพยายามในการระบุแต่ละสถานที่ในฉากต่าง ๆ ของซาเลส ก็เหมือนเพียงป้ายบอกชื่อเมืองแต่ละเมือง รัฐแต่ละรัฐ มากกว่าจะแสดงให้เห็นความหมายในการสร้างความคิดและจุดเปลี่ยนในชีวิตของพวกเขา เหมือนอย่างที่หนังการเรียนรู้ศิลปินหรือนักเขียนหลายท่านที่เคยดู มันก็ไม่ได้เต็มที่นัก
มันเทียบไม่ได้แม้กับ Easy Rider ด้วยซ้ำ
เราได้เห็นเพียงการกระทำและเข้าใจว่าสิ่งที่เขาเรียกว่านักเขียนรุ่นวัฒนธรรมบีทคืออะไร ได้เห็นการร่วมเพศอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฟรีเซ็กส์ ร่วมเพศเดียวกัน การติดยา การฉกฉวยขโมยต่าง ๆ แต่มันยังไม่สามารถให้เข้าใจจิตวิญญาณของพวกเขาเต็มที่นัก
หนังภาพสวยอย่างที่เราจะได้เห็นในหนังการเดินทางทั่วไป แต่ฉากต่าง ๆ โดยเฉพาะฉากในครอบครัวกับเพื่อน ๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก มันคงเป็นเพียงหนังที่จะเล่าเรื่องการดำเนินชีวิตของศิลปินนักเขียนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ....เสียดายค่ะ และโชคดีมากที่ตัวเองไม่ได้อ่านหนังสือต้นฉบับมาก่อน ก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ไม่งั้นคงจะเสียดายมากกว่านี้
|