Day 4 / 19 พฤษภาคม
Jagten (Thomas Vinterberg)
เรื่องราวแบบ The Hunt ได้รับการกล่าวถึงและทำเป็นหนังไม่รู้กี่ครั้ง แต่แม้จะทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ดูเหมือนว่า โธมัส วินเทนเบิร์กก็ยังพิสูจน์โลกให้เห็นฝีมือของเขาได้อีกครั้ง หลังจากที่เคยคว้ารางวัลสเปเชียลจูรี่ไพรซ์จากคานส์เมื่อปี 1998 จากภาพยนตร์เรื่อง Festen (The Celebration)
The Hunt เป็นเรื่องราวของลูคัส ครูเด็ก ๆ ผู้โอบอ้อมอารีและเป็นที่รักของเด็ก ๆ ลูคัสกำลังหย่าขาดจากภรรยา จนต้องให้ลูกชายวัยรุ่นไปอยู่กับแม่ แต่ลูคัสก็ยังมีเพื่อนรักหลายคนตั้งแต่วัยเด็กในละแวกใกล้เคียง ลูคัสเริ่มจัดการกับชีวิตได้เมื่อเขาพบรักกับครูคนใหม่ และลูกชายตัดสินใจจะย้ายมาอยู่กับพ่อ ....แต่แล้วทุกอย่างก็พังลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อเด็กน้อยวัยอนุบาลคลาร่า ลูกสาวของธีโอเพื่อนรัก ไปแอบบอกครูใหญ่ว่าลูคัสล่วงเลยกระทำการทางเพศกับเธอ และนั่นคือการเริ่มต้นของทฤษฎีล่าแม่มด
ก่อนที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ ผู้เขียนมิได้อ่านรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่อง ยกเว้นชื่อผู้กำกับ ซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวที่จะทำ เพื่อจะให้หนังพิสูจน์ในตัวของมันเอง ตอนแรกก็เลยคิดว่านี่เป็นการนำเรื่องราวแบบราโชมอนมาทำใหม่มากกว่า มาดูให้เห็นว่าระหว่างครูอย่างลูคัสและเด็กเลี้ยงแกะคลาร่า ใครคือคนพูดความจริง ....ซึ่งนักแสดงอย่างแมด มิกเก็ลเว่นถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก เขาดูเหมือนครูใจดีไม่มีอะไร แต่ขณะที่อีกหลายครั้ง ก็ทำให้เราเกิดข้อสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นคนที่เลวสุดได้เช่นกัน แต่เมื่อดูหนังจบแล้ว เราถึงรู้ว่าเขาคือผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ลูคัสต้องพิสูจน์ให้คนดูเห็นถึงความอ่อนโยน ความบริสุทธิ์และความทรนงที่มีอยู่ในตัวเขาตลอด และแม้ว่าเด็กน้อยคลาร่าจะทำให้ชีวิตเขาพังทลาย ความโอบอ้อมอารีของเขาก็ยังมีอยู่ เช่นเดียวกับแววตาที่ตัดพ้อกับธีโอ พ่อของคลาร่า ในฐานะที่ถูกเพื่อนรักไม่ไว้วางใจ ตอนนี้ล่ะค่ะที่ดิฉันเห็นว่าเขาคือผู้บริสุทธ์อย่างแท้จริง
โธมัสทำหนัง The Hunt ได้ดีมาก ไม่เพียงแต่ธีมเรื่องการล่าแม่มดที่ถูกนำมาเล่าใหม่ หนังยังได้แทรกประเด็นความเป็นเพื่อนของผู้ชายสองคนเข้ามาด้วย ....คือ คนอื่นจะพูดอย่างไร แต่ถ้าเพื่อนสนิทของเราเชื่อเราแล้ว นี่คือสิ่งที่สำคัญกว่าอื่นใด เช่นเดียวกับโยฮัน ที่ยังคงเชื่อมั่นในตัวเขา ยื่นมามาช่วยเหลือ แม้ว่าผู้คนในชุมชนต่างตั้งข้อรังเกียจเขาหมด โธมัสสามารถสร้างสถานการณ์ให้ชวนติดตามจนเรียกได้ว่า คุณแทบไม่เลี่ยงสายตาไปที่ใดเลย ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอภาพอ่อนโยน ภาพแห่งการล่าแม่มดร่วมสมัย รวมทั้งการกำกับนักแสดงที่เล่นได้ดีทุกคนอย่างไม่น่าเชื่อ แม้กระทั่งเด็กชายผู้รับบทลูกชายของเขา
ถ้าไม่มีคู่แข่งอะไรมากนัก หนังน่าจะได้รางวัลใดรางวัลหนึ่งไป อาจจะไม่ใช่รางวัลใหญ่ นักแสดงชายเป็นตัวหนึ่งในขณะนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะปีนี้นักแสดงชายแข่งกันเยอะมาก หลายคนล้วนน่าจับตามองทั้งสิ้น เพราะตอนจบมากเกินไปหน่อยกับการย้ำประเด็นเรื่องการล่าแม่มดในป่าอีกครั้ง cliche มากค่ะ
Lawless (John Hillcoat)
Lawless โดย จอห์น ฮิลล์โคท เป็นหนังที่หลายคนคิดว่าอ่อนที่สุดในหนังสายประกวดครั้งนี้ แต่เมื่อผู้เขียนเล่าให้เพื่อนฝูงนานาชาติฟัง พวกเขากลับตอบว่านี่เป็นหนังที่น่าจับตามอง เพราะทำจากหนังสือที่ดีที่สุดเรื่อง The Wettest County in the World เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสามพี่น้องตระกูลบอนดูรอนท์ กับเรื่องราวอาชญากรรมและคอรัปชั่นในยุคเคาบอย 1930
เนื้อเรื่องของ Lawless ก็ไม่แตกต่างจากหนังเคาบอยเรื่องอื่น ๆ ที่เราเคยดูมาก่อน การต่อสู้ของคนท้องถิ่นกับมาเฟีย โดยเฉพาะเหล่าข้าราชการคอรัปชั่น (นำโดย กาย เพียรซ์) จากคนธรรมดา ๆ ที่ขี้กลัว แจ็คน้องชายคนสุดท้อง ได้เรียนรู้ที่จะดำรงอยู่กับการเอาตัวรอดในภาวะสังคมตอนนั้น หนังช่วงครึ่งแรกก็ไม่มีอะไร ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ ยกเว้นบางตอนที่แสดงให้เห็นมุมดี ๆ ของหนังบ้างในการถ่ายทอดสถานการณ์ความตึงเครียดของตัวละคร กับการต่อกรระหว่างพี่น้องบอนดูรอนท์กับกลุ่มข้าราชการคอรัปชั่น (เช่นตอนฟอร์เรสต์ พี่ชายคนกลางเผชิญหน้ากับเรเคส นำแสดงโดยกาย เพียรซ์) หรือตอนที่สาวเบอร์ธาล้างเท้าให้แจ็ค
จนครึ่งหลังแล้วที่หนังเริ่มได้รับการกระตุ้นด้วยบทที่เริ่มเข้มข้นขึ้น (สามพี่น้องเริ่มประกอบอาชีพนอกกฎหมายและต่อสู้กับเรเคสอย่างเงียบ ๆ) ส่วนหนึ่งเพราะบทที่เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและสร้างความตึงเครียดมากขึ้น
และอีกส่วนหนึ่งคือดนตรีประกอบโดยนิค เคฟ ซึ่งเป็นคนเขียนบทด้วย หลาย ๆ คอนที่ดนตรีและเพลงเป็นตัวเล่าเรื่องและตัวละครหนึ่งด้วยซ้ำ ซึ่งตรงช่วงนี้แหล่ะที่ผู้กำกับจอห์น ฮิลล์โคท ได้ตัดองค์ประกอบทางภาพมาช่วยส่งเสริม จนทุกอย่างมันขมวดเป็นก้อนเดียวกันได้อย่างสวยงาม (โดยเฉพาะฉากที่แม็กกี้จะถูกข่มขืน)
Lawless เป็นหนังที่แสดงให้เห็นว่า จอห์น ฮิลล์โคทนั้นมีอะไรอยู่บ้างในตัวเอง เพียงแต่ว่าไม่ต่อเนื่องและไม่แข็งแรงพอในฐานะผู้กำกับ หนังเรื่องนี้ถึงสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดได้เป็นช่วง ๆ และองค์ประกอบด้านเพลงและดนตรีโดดส่วนอื่น ๆ ของหนัง
แต่อย่างไรก็ตาม ยี่สิบนาทีสุดท้ายเป็นช่วงที่กะพริบตาแทบไม่ได้เลยค่ะ
|