Day 1 / 16 พฤษภาคม
Moonrise Kingdom (by Wes Anderson)
Moonrise Kingdom รักที่ออกแบบได้
ไม่แปลกใจนักที่ทำไมผลงาน Moonrise Kingdom ของเวส แอนเดอร์สันได้เป็นหนังเปิดเทศกาล ทั้ง ๆ ที่หนังไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับฝรั่งเศสเลย ไม่ว่าจะการลงทุน นักแสดงหรือฉากของเรื่อง แต่เพราะรูปแบบของหนังที่องค์ประกอบผ่านการออกแบบและการควบคุมทุกอย่างได้อย่างเกือบจะสมบูรณ์ จึงทำให้หนังกลายเป็นภาพยนตร์ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจที่สมควรจะเป็นหนังเปิดของเทศกาลใดเทศกาลหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นคานส์เในที่สุด
หนังเล่าเรื่องความรักของเด็กชายหญิงวัยสิบสอง แซมเป็นลูกกำพร้าที่อยู่กับพ่อแม่อุปถัมภ์ ขณะที่ซูซี่อยู่กับพ่อแม่และน้องชายอีกสามคน ทั้งสองแอบรักกันและพากันหนีอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะถูกตามล่าสักกี่ครั้ง ก็ได้ีรับชัยชนะ้ในที่สุด
อ่านพล็อตแค่นี้ ชวนให้นึกถึง The Graduate ภาคผู้เยาว์ ซึ่งน่าจะมีมิติการแสวงหาความหมายของชีวิตแทรกอยู่ด้วย แต่เปล่าเลย เรื่องราวปรัชญาชีวิตเป็นเพียงส่วนประกอบ หนังเน้นการผจญภัยกับความสัมพันธ์ของเด็กสองคนมากกว่า ความฝันของพวกเขาในดินแดนที่แทบจะไม่ค่อยมีใครไปนักทางทิศตะวันตกของอังกฤษ บริเวณที่เกือบจะสุดแดนแผ่นดิน ที่เรียกว่า Penzance และ Land's End ในช่วงทศวรรษ 1960 นี่คือหนังผจญภัยและวิ่งหนีของเด็ก ๆ โดยมีผู้ใหญ่ที่เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างอยู่รอบตัว
เวส แอนเดอร์สันออกแบบหนังเรื่องนี้ให้ถ่ายทอดตามความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง การเคลื่อนกล้อง การตัดต่อ เครื่องแต่งกาย หรือการแสดง มุมกล้องตั้งแต่ฉากแรกนั้น โฟกัสไปที่ตัวบ้านเป็นช่อง ๆ เหมือนกับพวกบ้านตุ๊กตาของเล่น (ซึีงโกดาร์ดเคยเอามาใช้ในฉากหนังการเมืองเรื่อง Tout Va Bien) การใช้ดอลลี่ในการเคลื่อนกล้อง รวมทั้งการแพนกล้อง ซูมเลนส์อย่างรวดเร็ว ชวนให้รู้สึกความเป็นแฟนตาซีของอาณาจักรแห่งนี้ ยังไม่รวมถึงการแสดงที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนกับการจัดวางที่เรียกว่า method acting จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เขาจะคัดนักแสดงที่มักจะโดดเด่นด้วยการแสดงท่าทางอย่างบิลล์ เมอเรย์ และฟรานเซส แมคดอร์มันด์ในเรื่องนี้
แต่เพราะหนังเล่นกับการออกแบบมากเกินไป เมื่อถึงกลางเรื่องหนังเริ่มอืดเล็กน้อย เพราะเป็นช่วงที่บทไม่สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ ซูซี่และแซมถูกกักบริเวณ จนเมื่อพวกเขาตัดสินใจหนีมาพบกันอีกครั้งนั่นแหล่ะ หนังเริ่มกลับมาสร้างความตื่นเต้นสนุกสนานอีกครั้ง
สิ่งที่น่าปรบมือให้คือ ผู้ใหญ่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ เมอเรย์ ฟรานเซส แมคดอร์มันด์ บรูซ วิลลิส ทิลดา สวินดัน เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน สองคนแรกนั้น เรารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาถนัดในหนังแบบนี้ แต่สามคนหลังที่มักจะผ่านการแสดงแอ็คชั่น ไม่ก็การแสดงที่ออกมาจากข้างใน สามารถทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กัน แถมทุกคนยอมรับบทเล็ก ๆ เพื่อประกอบการแสดงของเด็กนำทั้งสอง
ถ้าหาก ฟ้าทะลายโจร โดดเด่นในเรื่องการออกแบบภาพ Moonrise Kingdom ก็คือหนังที่เรียกได้่ว่าได้มีการออกแบบองค์ประกอบจนเกือบสมบูรณ์
-----------------------------------
After the Battle, Yousry Nasrallah
หนังอียิปต์ชื่อเรียกยากเรื่องนี้ Baad El Mawkeaa เป็นหนังอาร์ตเฮ้าส์ธรรมดาเรื่องหนึ่ง ที่ถ้าไม่ไได้เพราะความไวในการนำเสนอประเด็นการเมืองของอิยิปต์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ก็อาจยากที่จะหลุดเข้ามาในสายประกวดได้
After the Battle นำเสนอเหตุการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมือง จนเกิดการประท้วงของกลุ่มคนต่าง ๆ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่การนองเลือดในที่สุด ตัดสลับกับเรื่องราวของนักข่าวสาวริมและมาห์โมด คนเลี้ยงม้า แม้ทั้งสองจะมีใจที่พิศวาสต่อกัน แต่ริมก็ไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขามีอะไรมากไปกว่านั้น ริมทำความสนิทสนมและช่วยเหลือครอบครัวของเขาทุกอย่าง จนภรรยาของมาห์โมดบอกให้เธอยอมแต่งงานเป็นภรรยาคนที่สอง แต่เธอปฏิเสธ ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนต่อกัน และความสนิทสนมนั้นก็นำมาซึ่งความไว้วางใจ มากพอที่ฟาติมาไม่ยอมให้ริมออกไปประจันหน้ากับการนองเลือดเพียงคนเดียว
เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เล่าเรื่องผ่านบุคคลทั้งสาม แม้ว่าฉากการเมืองในหนังที่เกิดขึ้นบนถนนนั้นจะมีพลังการเคลื่อนไหวอยู่มาก หลาย ๆ ตอนมาจากการบันทึกเหตุการณ์จริง หลาย ๆ ตอนเป็นการถ่ายทำขึ้นเพื่อหนังโดยเฉพาะ แต่ผู้กำกับก็ประสานรวมเป็นเส้นเดียวกันได้อย่างดี
แต่เพราะเรื่องราวของคนสามคนนั้นมันยาวมากและฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ประกอบกับเรื่องราวแบบนี้นั้น เราเห็นมามากแล้วจากสังคมไทยและเหตุการณ์เมืองในโลก ว่าไปแล้วความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับคนเลี้ยงม้าอย่างมาห์โมด ก็ไม่แตกต่างจากทองปาน จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าเขาจะอุทานในตอนหนึ่งเหมือนทองปานเลย กับการเข้าร่วมประท้วงของเขานั้นมันไม่ได้ช่วยชีวิตเขาให้ดีขึ้น นอกจากนั้นภาพของริม นักข่าวสาวนั้น ไม่สามารถทำให้เราเชื่อว่าเธอเป็นแอ็คติวิสท์ เธอดูสวยหรูน่าจะบนสนามแคทวอล์คแห่งใดแห่งหนึ่งมากกว่า
รายละเอียดเล็ก ๆ ที่น่าสนใจจุดหนึ่งคือการเชื่อมโยงความฝันของคนเลี้ยงม้ากับความผูกพันที่มีต่อปิรามิด การปีนขึ้นสู่ยอดปิรามิดเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งในชีวิตเขา ซึ่งว่าไปแล้วมันแสดงนัยการก้าวขึ้นสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของครอบครัวและตัวเขา หนังมีฉากดราม่าอย่างไม่ตั้งใจในเรื่องความรักในการเลี้ยงม้าที่สานต่อมายังลูกเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ และเท่ากับที่หนังพลาดประเด็นใหญ่ไปว่า ริม สามารรถมาหลงรักจนถึงจูบกันครั้งแรกที่เจอกับคนเลี้ยงม้าได้อย่างไร ในความเป็นจริง การก้าวข้ามสถานะทางชนชั้นมิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายนักในสังคมอียิปต์
|